Monday, November 08, 2004

THE HOURS AND TIMES (CHRISTOPHER MUNCH, A+++++)

มีหนังฮอลลีวู้ดหลายเรื่องที่ตอนก่อนเข้าไปดู ดิฉันไม่ได้ตั้งความหวังเลยว่ามันจะออกมาถูกใจดิฉันสักเท่าไหร่ แต่ปรากฏว่า THE BLOOD ORCHID, CELLULAR (A) และ MINDHUNTERS (A+) กลับออกมาถูกใจดิฉันมากๆ ซึ่งหนังทั้ง 3 เรื่องนี้มีองค์ประกอบที่ตรงกันก็คือผู้ชายหล่อ + ผู้หญิงใจเด็ด ชอบบทตัวละครหญิงในหนังฮอลลีวู้ด 3 เรื่องนี้มากค่ะ พวกเธอเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งดีจริงๆ แต่ในขณะเดียวกัน พวกเธอก็ยังดูเหมือนมนุษย์อยู่ ไม่ได้ดูเป็นตุ๊กตาแบบใน RESIDENT EVIL: APOCALYPSE (B) ไปๆมาๆ ดิฉันกลับรู้สึกว่าตัวละครที่ดิฉันชอบมากที่สุดใน RESIDENT EVIL: APOCALYPSE ก็คือนักข่าวสาวค่ะ เธอดูเป็นมนุษย์มากกว่าจะเป็นตุ๊กตาหรือหุ่นยนต์เหมือนนางเอก 2 คนของเรื่อง

ดิฉันชอบ RESIDENT EVIL (A-) ภาคแรกมากกว่าภาคสองค่ะ สาเหตุนึงอาจจะเป็นเพราะว่าในหนังแนวตื่นเต้นนั้น ดิฉันมักจะชอบหนังที่ใช้ฉากเป็นสถานที่ที่แคบๆ หรือสถานที่ที่มีขอบเขตจำกัด ใน RESIDENT EVIL ภาคแรก สถานที่มันแคบดี แต่ในภาคสอง สถานที่ให้หนีมันดูกว้างไปหน่อย ก็เลยไม่รู้สึก “ถูกกดดัน” เหมือนอย่างภาคแรก พอสถานที่มันกว้างขึ้น “ความเข้มข้น” ในการดำเนินเนื้อเรื่องมันก็เลยอาจลดลงไปบ้าง

หนังเกี่ยวกับผู้หญิงในสถานที่แคบๆที่ดิฉันชอบมากอีก 2 เรื่องก็คือ TRAPPED (1989, FRED WALTON, A-) กับ THE ASSAULT (1996, JIM WYNORSKI, A+) ค่ะ ทั้งสองเรื่องนี้ดูทางเคเบิลทีวี

สิ่งหนึ่งที่ดิฉันชอบมากๆใน A CINDERELLA STORY (B-) ก็คือบทของพระเอกค่ะ อันนี้เป็นสิ่งที่เซอร์ไพรส์มาก เพราะหนังโฆษณาของ A CINDERELLA STORY ทำให้นึกว่าหนังเรื่องนี้จะเน้นแต่ “ปัญหาชีวิตของนางเอก” เพียงอย่างเดียว แต่พอเข้าไปดู ก็รู้สึกประทับใจมากที่หนังเรื่องนี้ให้น้ำหนักมากพอสมควรกับ “ปัญหาชีวิตของพระเอก” ด้วย เพื่อนนางเอกที่เป็นเด็กผู้ชายใส่แว่นก็น่ารักดีเหมือนกัน

ถ้าชอบหนังผีที่ผีอาละวาดอย่างมีเหตุผล ดิฉันนึกถึงหนังเกาหลีเรื่อง INTO THE MIRROR (KIM SEONG-HO, A) ค่ะ หนังเรื่องนี้เคยเข้าโรงฉายที่เดอะมอลล์ งามวงศ์วานเมื่อหลายเดือนก่อน ตอนนี้น่าจะมีวีซีดีลิขสิทธิ์ออกมาแล้ว ผีในหนังเรื่องนี้ทำตัวมีเหตุมีผลมากค่ะ และหนังเรื่องนี้ก็ไม่ใช่หนังสยองขวัญเพียงอย่างเดียว แต่เป็นหนังแนว “ปริศนาฆาตกรรม” ด้วย พระเอกเกาหลีของหนังเรื่องนี้ก็น่ารักดีเหมือนกัน

สาเหตุที่ดิฉันชอบ FAHRENHEIT 9/11 แค่ในระดับ A- ก็เป็นเพราะเหตุผลเดียวกับคุณ ZM เหมือนกันค่ะ ดิฉันรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ก็มีข้อดีของมันเอง และคงเหมาะกับผู้ชมบางกลุ่มโดยเฉพาะชาวอเมริกัน แต่หนังเรื่องนี้ไม่เหมาะกับดิฉันซะทีเดียว ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ความผิดของหนังหรือของไมเคิล มัวร์แต่อย่างใดที่ไม่ได้ทำหนังเข้าทางดิฉัน

FAHRENHEIT 9/11 ไม่มีผลกระทบทางอารมณ์กับดิฉันมากเท่าที่ควร ก็เพราะแต่ละประเด็นซึ้งๆในหนังมันมาสั้นมากจนดิฉันไม่มีเวลาได้ซาบซึ้งกับมัน จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้สามารถดัดแปลงให้กลายเป็นหนังในแนวทางที่ดิฉันชอบได้เลย ถ้าหากหนังเรื่องนี้เป็นหนังเกี่ยวกับ “คุณแม่ที่สูญเสียลูกชายในสงคราม” และก็พูดถึงแต่ประเด็นนี้ทั้งเรื่อง หรือหนังเกี่ยวกับ “ชีวิตผู้หญิงชาวอิรักในช่วงสงคราม” และก็พูดถึงแต่ประเด็นนี้ทั้งเรื่อง ให้เราได้เห็นชีวิตประจำวันของคนเหล่านี้ โดยไม่ต้องใส่ความคิดเห็นทางการเมืองเข้าไปในทุกๆฉาก หนังสารคดีที่ทำให้ดิฉันเสียน้ำตาส่วนใหญ่มักจะออกมาในทำนองนี้ค่ะ นั่นก็คือหนังสารคดีที่พูดถึงชีวิตคนไม่กี่คน และเป็นหนังสารคดีที่ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาจะ “ส่งสาร” เพียงอย่างเดียว หนังสารคดีที่ไม่ได้เน้นแต่ว่าคนให้สัมภาษณ์ในหนัง “พูดว่าอะไรบ้าง” แต่กลับให้ความสำคัญกับบรรยากาศ, พื้นดิน, พื้นน้ำ, และ สายลมที่พัดอยู่รอบๆตัวคนที่ให้สัมภาษณ์ในหนังสารคดีด้วย ที่เขียนมานี้ไม่ได้จะตำหนิอะไรไมเคิล มัวร์นะคะ เพียงแต่จะบอกว่ามันไม่ใช่ทางของดิฉันเท่านั้นเอง

ตัวอย่างหนังสารคดีแนวที่ดิฉันชอบ (รู้สึกว่าจะซ้ำๆกับที่เคยเขียนมาแล้ว หวังว่าคงไม่เป็นไรนะคะ)

1.AFTERSHOCKS (2001, RAKESH SHARMA) A+ นี่เป็นหนังสารคดีการเมืองเกี่ยวกับชาวบ้านที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ฉากที่ติดตาที่สุดในหนังเรื่องนี้คือฉากเด็กผู้หญิงคนนึงกวาดบ้าน ซึ่งเป็นฉากที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวอะไรเลยกับสารของหนัง เรื่องนี้ อย่างไรก็ดี หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบ ดิฉันก็ขังตัวเองในห้องน้ำของห้างสยามดิสคัฟเวอรีแล้วก็ร้องไห้ครึ่งชั่วโมง

2.A WEDDING IN RAMALLAH (2002, SHERINE SALAMA) A+ หนังเรื่องนี้ติดตามถ่ายทำชีวิตของหญิงชาวปาเลสไตน์คนนึง ฉากที่รู้สึกรุนแรงมากจนลืมไม่ลงในหนังเรื่องนี้ก็คือฉากที่ผู้หญิงคนนี้ทำทีวีเจ๊งแล้วก็กังวลเป็นเวลานานมากว่าสามีจะตำหนิเธอหากรู้เรื่องนี้เข้า เธอรออยู่ในบ้านเป็นเวลาหลายชั่วโมง รอเวลาที่สามีจะกลับเข้าบ้านและทราบความจริงว่าทีวีเจ๊ง มันเป็นการรอคอยที่ทรมานใจอย่างสุดๆ

3.COLD HOMELAND (1995, VOLKE KOEPP) A+ หนังสารคดีเรื่องนี้ถ่ายทอดบรรยากาศของสถานที่ออกมาได้อย่างดีมากๆ และมีฉากที่ทำให้ดิฉันร้องไห้ 2 ฉากในเรื่องนี้ ฉากนึงก็คือฉากที่ชาวบ้านคนนึงเล่าเรื่องที่เขาได้เห็น “ทหารเยอรมันคนนึงยอมถูกประหารชีวิต แต่ไม่ยอมฆ่าผู้บริสุทธิ์” ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และฉากที่คุณยายวัยชราที่เคยมีประสบการณ์ชีวิตหนักหน่วงมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ร้องเพลงออกมา คุณยายคนนี้ร้องเพลงภาษาอะไรก็ไม่รู้ เพราะหนังไม่ได้ขึ้นซับไตเติลแปลเนื้อเพลงให้ บางทีเธออาจจะร้องเป็นภาษารัสเซีย แต่เพลงที่ไม่มีคำแปลคำนี้กลับทำให้ดิฉันร้องไห้ออกมา (บางทีถ้ารู้คำแปลดิฉันอาจจะไม่ร้องไห้ก็ได้ บางทีเนื้อเพลงอาจจะเกี่ยวกับว่า “เมื่อไหร่ยาทาเล็บจะแห้งซะที” หรืออะไรทำนองนี้ ใครจะไปรู้)

หนัง 5 เรื่องที่ได้ดูในวันนี้ เรียงตามลำดับความชอบ

1.THE HOURS AND TIMES (1991, CHRISTOPHER MUNCH, A+)

วันนี้พอดู FORMULA 17 จบ ก็นั่งรถเมล์กลับบ้าน นั่งๆอยู่ก็ร้องไห้ออกมา แต่ไม่ได้ร้องไห้ให้กับ FORMULA 17 แต่ร้องไห้ให้กับหนังเรื่อง THE HOURS AND TIMES นี่คือหนังที่ทำให้ดิฉัน”หัวใจสลาย” อย่างรุนแรงที่สุดเรื่องนึงในปีนี้

ถ้าหากเลนนอนกับเอพสไตน์เคยมีเซ็กส์กันจริงเหมือนอย่างที่คุณ kit พูด นั่นก็คงจะเป็นสิ่งที่น่าชื่นใจมากค่ะ ดิฉันเองพอดูหนังเรื่องนี้เสร็จแล้ว ก็ลองเช็คประวัติเอพสไตน์ดู แล้วก็ตกใจมากที่พบว่าเขาเสียชีวิตในปี 1967

อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจใน THE HOURS AND TIMES ก็คือการที่หนังเรื่องนี้เกิดขึ้นในโลกจินตนาการ ไม่ได้เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง เพราะฉะนั้นถึงแม้เอพสไตน์ตัวจริงจะตายในปี 1967 แต่เอพสไตน์ที่อยู่ในโลกจินตนาการในหนังเรื่องนี้ เป็นตัวละครที่ดิฉันอยากให้มีชีวิตอยู่ต่อไปมากๆค่ะ เขาเป็นตัวละครที่ก้าวข้ามเข้ามาอยู่ในโลกจินตนาการของดิฉันด้วย ดู THE HOURS AND TIMES จบแล้ว ดิฉันก็รู้สึกอยากจินตนาการภาคสองของหนังเรื่องนี้ต่อในทันที

THE HOURS AND TIMES พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 1963 แต่พอดูเสร็จแล้ว ดิฉันก็สงสัยมากๆเลยว่า 10 ปีหลังจากนั้น ตัวละครในหนังเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ดิฉันเดาว่าในปี 1973 เลนนอนอาจจะลืมเรื่องการเดินทางของเขากับเอพสไตน์ไปแล้ว แต่ถ้าหากเอพสไตน์ยังคงมีชีวิตอยู่ในปี 1973 เขาอาจจะยังไม่ลืมการเดินทางในครั้งนั้น ในปี 1973 เขาอาจจะอมยิ้มกับตัวเองทุกครั้งเมื่อเขานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อน บางทีเขาอาจจะเดินทางมาสเปนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาอาจจะมาคนเดียว และในครั้งนี้ เขาอาจจะไปนั่งที่ม้านั่งตัวนั้นอีกครั้ง และก็รำลึกถึงความหลังเมื่อ 10 ปีก่อน นึกถึงความรู้สึกเมื่อตอนที่เลนนอนนั่งอยู่ข้างๆเขาบนม้านั่งตัวนั้น

สาเหตุที่ทำให้ดิฉันอินกับ THE HOURS AND TIMES มากๆ เป็นเพราะประสบการณ์ชีวิตที่อาจคล้ายคลึงกับตัวละครในเรื่องค่ะ การรักเขาข้างเดียว การที่ต้องคอยเห็นคนที่เรารักมีความสุขอยู่กับคนอื่นๆ ฉากที่เอพสไตน์เปิดประตูให้แมรีแอนน์เข้ามาในห้อง แล้วเขาก็เป็นฝ่ายเสียสละด้วยการออกไปจากห้อง ออกไปจากห้องขณะที่พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้อย่างเต็มที่ ออกไปจากห้องแล้วก็ไปนั่งอยู่คนเดียวในโรงแรม นั่งรออยู่คนเดียวเป็นเวลานานแสนนาน นั่งรออยู่คนเดียวขณะที่ความสุขเพิ่งหลุดลอยหายไปจากชีวิตในชั่วพริบตา มันคงเป็นโมงยามแห่งความทุกข์ทนอย่างเหลือแสน

อย่างไรก็ดี สิ่งที่หนังเรื่องนี้ทำได้ถูกใจดิฉันมากๆก็คือหนังแทบไม่ได้ให้เราเห็นใบหน้าของเอพสไตน์อย่างชัดๆในช่วงเวลาแห่งความตรอมใจนั้นเลย เรารู้ว่าเอพสไตน์น้ำตาเอ่อล้นมาที่ตา เรารู้ว่าเอพสไตน์คงพยายามกลืนก้อนสะอื้นเข้าไปในอก ก็จากคำพูดของแมรีแอนน์เท่านั้น เราไม่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้กับตาตัวเองแม้แต่น้อย แต่เพียงแค่นี้ มันก็เจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหวแล้ว

ฉากตอนก่อนจบก็บาดใจดิฉันอย่างรุนแรงมากค่ะ ฉากที่เอพสไตน์รู้ดีว่าความสุขที่เขาจะได้รับ คงไม่ใช่ความสุขที่จะได้มาทางกายภาพ ไม่ใช่ความสุขที่จะได้มาจากการได้สัมผัสแตะต้องเนื้อตัวคนที่เรารัก แต่เป็นความสุขที่ได้มาจาก “ความทรงจำ” ถึงโมงยามที่เราเคยใกล้ชิดกันเท่านั้น

ไปดูหน้าเอพสไตน์ตัวจริง แล้วก็รู้สึกว่าตัวจริงหน้าตาดีกว่าในหนังมากเลย อย่างไรก็ดี DAVID ANGUS ซึ่งรับบทเป็นเอพสไตน์ในเรื่องนี้ ถึงแม้จะหน้าตาดีสู้เอพสไตน์ไม่ได้ แต่ฝีมือการแสดงของเขาเยี่ยมมาก

IAN HART (BORN 1964) ที่เล่นเป็นเลนนอนในเรื่องนี้ก็น่ารักมากๆเลยค่ะ

เนื้อเรื่องใน THE HOURS AND TIMES เกี่ยวข้องกับความเหงาและความเปล่าเปลี่ยวของคน 2 คนที่อยู่ในโรงแรมเกือบตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด ที่ตัวละครในหนังเรื่องนี้จะออกไปดูหนังเรื่อง THE SILENCE (1963, INGMAR BERGMAN, A+) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับตัวละครในโรงแรมแห่งความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาเหมือนๆกัน THE SILENCE เป็นหนังของอิงมาร์ เบิร์กแมนที่ดิฉันชอบที่สุดค่ะ

2. THE HORSE THIEF (1986, TIAN ZHUANGZHUANG) A
3.FASTER, PUSSYCAT! KILL! KILL! (1965, RUSS MEYER) A
4.AFTER THE REHEARSAL (1984, INGMAR BERGMAN) A-
5.FORMULA 17 (DJ CHEN) B+

ดีใจที่ได้ยินว่าวงการเพลงอิเล็กทรอนิกเมืองไทยคึกคักขึ้นมากจนถึงมากที่สุด ส่วนตัวดิฉันเองนั้น ไม่ได้ติดตามวงการเพลงอิเล็กทรอนิกมานานมากแล้วค่ะ ศิลปินที่ดิฉันชอบมากส่วนใหญ่จะเป็นศิลปินที่อยู่ในวงการมาประมาณ 10-15 ปี ซึ่งรวมถึง

1.THE ORB
2.ORBITAL
3.OPUS III
4.JAM & SPOON FEATURING PLAVKA
5.CASSIUS
6.SPOOKY
7.SABRES OF PARADISE
8.THE FUTURE SOUND OF LONDON
9.APHEX TWIN
10.808 STATE

No comments: