Friday, December 17, 2004

THE JEALOUSY OF THE TOOLBOX WIVES

JEALOUSY IS MY MIDDLE NAME PART II

ชอบฉากตอนจบกับฉากที่ผู้ชายสองคนนอนประกบกันเหมือนกันค่ะ ตอนที่ดิฉันดูฉากตอนจบ ดิฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตกลงลูกสาวเธออิจฉาพระเอกหรือเธอชอบพระเอกกันแน่ ตอนที่เธอเจอหน้าพระเอกครั้งแรก ดูเหมือนเธอจะชอบพระเอก (ดิฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน) แต่พอในฉากจบ ดิฉันก็เริ่มไม่แน่ใจเหมือนกันว่าบางทีเธออาจจะอิจฉาพระเอกก็ได้

นึกถึงอีกฉากนึงเหมือนกันในเรื่องนี้ ฉากที่นางเอกไปนอนค้างบ้านเพื่อนผู้หญิงคนนึงที่มีลูกสาวอยู่ด้วย แล้วลูกสาวคนนั้นก็จ้องนางเอกอยู่พักนึง โดยที่ไม่ได้แสดงอารมณ์อย่างชัดเจนว่าเธอรู้สึกยังไงที่มีเพื่อนแม่มานอนห้องด้วยกัน

อีกสองสามฉากที่ดูเหมือนไม่มีความหมาย แต่ฝังใจดิฉัน ก็คือ
1.ฉากเปิดเรื่อง ที่พระเอกมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วเห็นเด็กๆกำลังเต้นตามเพลงฝรั่ง
2.ฉากที่เพื่อนพระเอกมองออกไปนอกหน้าต่างในช่วงต้นเรื่อง แล้วเห็นเหมือนหนุ่มสาวทะเลาะกัน
3.ฉากที่ลูกสาวมองออกไปนอกหน้าต่างในช่วงท้ายเรื่อง แล้วเห็นนางเอกกับพระเอกคุยกัน (ตอนนั้นพระเอกปฏิเสธที่จะย้ายออกจากบ้านของเจ้านายตามคำขอของนางเอก)

ฉากพวกนี้อาจไม่มีความหมายในเชิงสัญลักษณ์อะไรก็ได้ แต่มันติดตาติดใจดีจัง อีกฉากนึงที่ทำออกมาเรียบง่ายดี ก็คือฉากที่พ่อตาของเจ้านายชวนเจ้านายไปลองซิการ์กับบุหรี่ (หลังจากจับได้ว่าลูกเขยของตัวเองมีชู้) แล้วก็บอกลูกเขยว่า “ไม่ต้องสูบจนหมดก็ได้ ลองให้พอรู้รสชาติก็พอแล้ว”


STEPFORD WIVES

ชอบ THE STEPFORD WIVES (2004, A) มากๆค่ะ มันแร่ดๆฮาๆดี บางทีอาจจะเป็นเพราะดิฉันยังไม่เคยดูเวอร์ชันต้นฉบับก็ได้ ก็เลยทำให้ชอบเวอร์ชันล่าสุดนี้มาก ดิฉันยังไม่ได้อ่านคำวิจารณ์ THE STEPFORD WIVES สักเท่าไหร่ค่ะ แต่เดาว่าบางทีการที่เวอร์ชันนี้โดนถล่ม อาจเป็นเพราะว่านักวิจารณ์เคยดูเวอร์ชันต้นฉบับมาแล้ว

ในส่วนของดิฉันนั้น พูดจริงๆว่าถ้าหากไม่ได้ดู JU-ON มาก่อน ก็คงทำให้ชอบ THE GRUDGE มากขึ้นกว่าเดิมประมาณ 10 เท่าเหมือนกัน

ชอบฉากเปิดของ THE STEPFORD WIVES มากๆค่ะ ฉากเปิดของหนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึงหนังบางเรื่องของ BRUCE CONNER และหนังบางเรื่องของ MATTHIAS MULLER เพราะผู้กำกับสองคนนี้ดูเหมือนจะมีความผูกพันอะไรบางอย่างกับทศวรรษ 1950 ถึงต้นทศวรรษ 1960 เขาสามารถนำลักษณะอันเด่นชัดของทศวรรษนั้นๆมาทำให้เป็นอะไรที่ดูหลอนๆ ไม่น่าไว้วางใจ ซึ่งก็เข้ากันได้กับฉากเปิดของ THE STEPFORD WIVES ที่เป็นภาพของการโฆษณาชวนเชื่อที่ดูแล้วไม่น่าไว้วางใจยังไงพิกล

ชอบ BETTE MIDLER ในเรื่องนี้มาก เธอฮามาก

Speech ตอนจบของผู้ร้ายใน THE STEPFORD WIVES ทำให้นึกถึง speech ตอนใกล้จบของผู้ร้ายใน SLEEPY HOLLOW (TIM BURTON, A-/B+) เหมือนกันค่ะ ใน SLEEPY HOLLOW นั้น ตัวผู้ร้ายเล่าบรรยายเฉลยอย่างละเอียดยิบเลยค่ะว่าตัวเองทำอะไรมาบ้างตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง ซึ่งการเฉลยอย่างเป็นขั้นเป็นตอน อธิบายเป็นฉากๆอย่างนี้คงจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคนดูหนังในวัยมัธยม แต่คงดูตลกๆสำหรับคนที่ดูหนังมานานแล้ว (แต่การที่ดิฉันชอบ SLEEPY HOLLOW ถึงขั้นประมาณ A-/B+ เป็นเพราะว่าดิฉันชอบตัวละครแม่ของจอห์นนี เดปป์ในเรื่องนี้มากค่ะ เธอโผล่มาแค่ไม่กี่ฉาก แต่เป็นตัวละครที่น่าสะเทือนใจมาก)

พูดถึงการทำให้ตัวละครมีสามมิติ ก็เลยนึกถึงหนังสยองขวัญเรื่อง THE TOOLBOX MURDERS (A+) กับเรื่อง SAW (A+) ดู THE TOOLBOX MURDERS แล้วรู้สึกว่าหนังมันโง่มาก แต่ดู SAW แล้วรู้สึกว่าหนังมันฉลาดมาก แต่ปรากฏว่าชอบ THE TOOLBOX MURDERS มากกว่าเยอะเลย ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร ใน SAW นั้น ดิฉันรู้สึกเหมือนกับว่าผู้สร้างเขาพยายามทำให้หนังออกมาดูดีตามหลักเกณฑ์ของความเป็นหนังดี ตัวละครต้องมีที่มาที่ไป การกระทำต้องมีเหตุผลรองรับ ตัวละครต้องมีแบคกราวด์ อะไรเทือกๆนั้น ซึ่งเขาก็ทำออกมาได้ดีถูกต้องตาม “หลักเกณฑ์” เขาทำให้ตัวละครดูมีสามมิติ แต่ไปๆมาๆ การสร้างตัวละครที่ดีตาม “หลักเกณฑ์” ตาม “มาตรฐาน”ในหนังเรื่องนี้ กลับทำให้ตัวละครกลายเป็นตัวละครประเภท “จงใจให้เป็นสามมิติ” ยังไงไม่รู้ และทำให้ดิฉันรู้สึกว่าตัวละครในหนังเรื่องนี้มันช่างถูกจัดสร้างปรุงแต่งมาจริงๆ

ตรงข้ามกับ THE TOOLBOX MURDERS ซึ่งดูเหมือนผู้สร้างสร้างตัวละครที่ดูดาดดื่น บางครั้งก็ดู cliche แต่การที่ผู้สร้างไม่แคร์กับกฎเกณฑ์ของความเป็นหนังดี ไม่แคร์กับมาตรฐานความเป็นหนังดี ไม่สนไม้บรรทัดที่มาใช้วัดว่าอะไรสองสามสี่มิติ กลับทำให้ดิฉันมีความสุขมากๆกับการดูหนังเรื่องนี้ และรู้สึกผูกพันกับตัวละครในหนังเรื่องนี้มากกว่าใน SAW เยอะเลย มันไม่มี “ความจงใจให้เป็นหนังดี” แบบ SAW การที่ผู้สร้างไม่ไปพยายามปรุงแต่งตัวละครมากเกินไป บางครั้งก็ให้ผลดีเหมือนกัน

นึกถึงหนังอีกสองเรื่องที่ฉายในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งก็คือ DON’T SAY A WORD (2001, GARY FLEDER, B/B-) กับ JEEPERS CREEPERS (2001, VICTOR SALVA, A+++++++) ซึ่งเรื่อง DON’T SAY A WORD นั้น ดูเหมือนจะแคร์กับกฎเกณฑ์ของความเป็นหนังดี, กฎเกณฑ์ของการสร้างตัวละครสามมิติ, การหาเหตุผลให้กับเนื้อเรื่องและตัวละครเป็นอย่างมาก แต่ดิฉันดูแล้วกลับไม่รู้สึกอินไปกับเรื่องแม้แต่น้อย ในขณะที่ JEEPERS CREEPERS กลับดูเหมือนจะโยนกฎเกณฑ์เหล่านี้ทิ้งไปจากหนังและโยนเหตุผลทิ้งไปจากหนัง และดิฉันก็กลับอินกับหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆ

วกกลับมาที่นิโคล คิดแมนใน STEPFORD WIVES มีอยู่จุดนึงที่ดิฉันรู้สึกแปลกดี นั่นก็คือ ดิฉันชอบ THE STEPFORD WIVES กับ THE HUMAN STAIN (A+) ของนิโคล คิดแมนมาก แต่ไม่ค่อยชอบ COLD MOUNTAIN (B+) เท่าไหร่ แต่ปรากฏว่า COLD MOUNTAIN กลับเป็นหนังที่ดังที่สุดในบรรดา 3 เรื่องนี้

จริงๆแล้วดิฉันไม่ค่อยถูกโฉลกกับหนังแนวครอบครัวอบอุ่นสักเท่าไหร่ แต่ THE INCREDIBLES (A) นี่ชอบมาก สาเหตุสำคัญเป็นเพราะว่าผู้หญิงในเรื่องนี้มีบทบาทเยอะดี หนังเรื่องนี้เปิดโอกาสให้ตัวละครผู้หญิงได้ใช้ความสามารถสูงมาก ก็เลยทำให้ชอบเรื่องนี้มากค่ะ

ปีนี้ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะเชียร์ใครดีในเวทีลูกโลกทองคำหรือออสการ์ แต่การที่ไม่มีหนังฟอร์มใหญ่อย่าง LORD OF THE RINGS มา ก็เลยทำให้รู้สึกดีมากๆเลยค่ะ การชิงรางวัลจะได้สนุกขึ้น ไม่ชอบเวลาที่มีหนังฟอร์มใหญ่มากวาดรางวัลเยอะๆ อยากให้รางวัลเฉลี่ยๆกันไปมากกว่า

แต่ดูรายชื่อหนังในปีนี้แล้วก็ไม่มีผู้กำกับคนโปรดสุดๆของตัวเองได้ชิงรางวัลเลยเหมือนกัน ผู้กำกับอย่าง MIKE NICHOLS, CLINT EASTWOOD, ALEXANDER PAYNE, MARTIN SCORSESE ก็เป็นผู้กำกับที่ดิฉันชอบแต่ขี้เกียจเชียร์ยังไงไม่รู้ รู้สึกว่าถึงผู้กำกับพวกนี้ได้รางวัลออสการ์มา ดิฉันก็รู้สึกงั้นๆ แต่ถ้าหากเป็นเดวิด ลินช์ได้ออสการ์นี่สิ ดิฉันคงดีใจเต้นระบำไปรอบๆอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

อย่างไรก็ดี ปีนี้ก็ไม่มีหนังที่ดิฉันรู้สึกต่อต้านได้เข้าชิงรางวัลค่ะ เพราะในปีก่อนๆนั้น ดิฉันไม่ค่อยอยากให้หนังอย่าง GLADIATOR (A-) หรือ A BEAUTIFUL MIND (A-) ได้รางวัลสักเท่าไหร่

ชอบ MIKE LEIGH กับ ALEJANDRO AMENABAR มาก แต่เนื่องจากหนังเรื่อง VERA DRAKE กับ THE SEA INSIDE เป็นหนังที่ดังระเบิดและได้รับคำชมอย่างรุนแรงจากทั่วทุกสารทิศอยู่แล้ว ดิฉันก็เลยรู้สึกว่าหนังมันได้รับคำชมเพียงพอแล้ว ก็เลยไม่รู้สึกอยากเอาใจช่วยอะไรมากนัก

หนังที่อยากดูในตอนนี้
หนังที่อยากดูในตอนนี้คือ KOMRADES (2003) ที่กำกับโดย STEVE KOKKER ค่ะ หนังเรื่องนี้ถ่ายทอดชีวิตของทหารหนุ่มๆรูปร่างกำยำวัยฉกรรจ์ชาวรัสเซีย

No comments: