Friday, December 16, 2005

THE FURIES STARRING BARBARA STANWYCK

--ชอบคำว่า “ส้นสูงหัก” ของคุณทาเรนซ์มากๆเลยค่ะ

--ดีใจมากค่ะที่คุณแฟรงเกนสไตน์ชอบ TARNATION (A+) ฉากที่ดิฉันชอบมากๆในหนังเรื่องนี้คือฉากที่คุณแม่พูดถึงฟักทองวิเศษหรืออะไรทำนองนี้

ตอบคุณ SENSITIVEMAN

--ชอบ THE DESCENT (A+) มากๆเหมือนกันค่ะ

--เพื่อนเคยเล่าให้ฟังว่า เขาเคยอ่านบทความเกี่ยวกับภรรยาของเชาเชสคู แล้วในบทความบอกว่าภรรยาของเชาเชสคูชอบแบล็คเมล์ภรรยานักการทูตที่มาประจำอยู่ในโรมาเนีย โดยใช้วิธีการส่งโชเฟอร์หล่อๆไปทำงานขับรถให้ภรรยานักการทูตเหล่านั้น แล้วก็ให้โชเฟอร์ยั่วยวนภรรยานักการทูตจนได้กันแล้วก็เก็บหลักฐานไว้แบล็คเมล์ในภายหลัง ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่แหม อยากเจอโชเฟอร์หนุ่มหล่อชาวโรมาเนียมายั่วยวนบ้างจังเลย ถ้าหากเจออย่างนั้น ดิฉันจะเป็นฝ่ายเก็บหลักฐานเอาไว้เองแล้วเอามาเผยแพร่ให้ทุกคนดูด้วยความภาคภูมิใจว่าฉันเคยมีอะไรกับโชเฟอร์หนุ่มหล่อชาวโรมาเนียด้วยล่ะ

--พูดถึงเรื่องของโรมาเนีย แล้วก็มักนึกถึงนิยายเรื่อง WINDMILLS OF THE GODS ของ SIDNEY SHELDON ที่มีเนื้อหาบางส่วนเกี่ยวกับโรมาเนีย เป็นนิยายที่สนุกมาก โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับ “มือสังหาร” นิยายเรื่องนี้เคยสร้างเป็นมินิซีรีส์ในปี 1988 ด้วยฝีมือการกำกับของ LEE PHILIPS และนำแสดงโดย JACLYN SMITH ดาราสาวสวยจาก “นางฟ้าชาร์ลี” โดยมี IAN MCKELLEN มาร่วมแสดงในเรื่องนี้ด้วย
http://www.imdb.com/title/tt0096447/

ภาพของ “นางฟ้าชาร์ลี” ละครที่ดิฉันชอบที่สุดเรื่องนึงในวัยเด็ก อยากดูใหม่อีกรอบจังเลย (ได้ดูปี 1 รอบใหม่ไปแล้ว แต่อยากดูปีต่อๆมาอีก)
http://imagecache2.allposters.com/images/PEPH/CA3C3.jpg

(มี “นางฟ้าชาร์ลี” ตอนนึงที่ชอบมากๆ รู้สึกว่าจะอยู่ปีหลังๆ ในตอนนั้นมี “ผี” มาช่วยนางฟ้าชาร์ลีไขปริศนาลับด้วย)

--หนังโรมาเนียที่อยากดูสุดๆในตอนนี้ ก็คือเรื่อง THE AFTERNOON OF A TORTURER (2001, LUCIEN PINTILIE) และ THE DEATH OF MR. LAZARESCU (2005, CHRISTI PUIU)
http://www.imdb.com/title/tt0290423/
http://www.imdb.com/title/tt0456149/

--ส่วนหนังโรมาเนียที่เคยดู ก็คือเรื่อง THE OAK (1992, LUCIEN PINTILIE, A) กับ REQUIEM FOR DOMINIC (1990, ROBERT DORNHELM, A)
http://www.imdb.com/title/tt0100476/

--มีหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการหนีจากโลกคอมมิวนิสต์หลายเรื่องเหมือนกัน อย่างเช่น

1. AN AMERICAN RHAPSODY (2001, EVA GARDOS)
หนังเรื่องนี้เป็นการหนีออกจากฮังการี นำแสดงโดย SCARLETT JOHANSSON กับ NASTASSJA KINSKI
http://images.amazon.com/images/P/B00005RYLY.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

2.TORN CURTAIN (1966, ALFRED HITCHCOCK, A-)
http://www.imdb.com/title/tt0061107/
การหนีออกจากเยอรมันตะวันออก นำแสดงโดยพอล นิวแมน กับจูลี แอนดรูส์

3.BEFORE NIGHT FALLS (2000, JULIAN SCHNABEL, A)
4.BALSEROS (2002, CARLOS BOSCH + JOSEP MARIA DOMENECH, A+)
สองเรื่องนี้เป็นการหนีออกจากคิวบา

5.EAST/WEST (REGIS WARGNIER, A)
การหนีออกจากโซเวียต

6.I AM DAVID (2003, PAUL FEIG, A+)
การหนีออกจากบัลแกเรีย

7.THE TUNNEL (2001, ROLAND SUSO RICHTER)
การหนีออกจากเบอร์ลินตะวันออก สร้างจากเรื่องจริง ดีวีดีหนังเรื่องนี้มีขายแล้วในสหรัฐ
http://www.imdb.com/title/tt0251447/
http://images.amazon.com/images/P/B000AOEPKC.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

8.TURTLE BEACH (1992, STEPHEN WALLACE)
http://www.imdb.com/title/tt0103141/
เรื่องของนักข่าวหญิงชาวออสเตรเลีย (GRETA SCACCHI) ที่เดินทางไปมาเลเซียเพื่อทำข่าวเกี่ยวกับผู้อพยพชาวเวียดนาม

9.หนังสั้นเรื่องนึงที่เคยมาฉายในกรุงเทพในช่วงปลายปี 2001 จำชื่อเรื่องไม่ได้แล้ว แต่จำได้ว่ากำกับโดยผู้กำกับเกย์ชาวเวียดนาม และเล่าถึงประสบการณ์จริงของเขาขณะหนีทางเรือออกจากเวียดนามมาประเทศไทย แต่เจอกับโจรสลัดระหว่างทาง โดยเขานำเสนอภาพโจรสลัดในหนังเรื่องนี้ในแบบอีโรติก

--พูดถึงชะตากรรมของนักกีฬาในโลกคอมมิวนิสต์แล้ว ก็นึกถึงหนังเรื่อง GOOD BYE, LENIN! (WOLFGANG BECKER, A) ที่นำแสดงโดยสามีของน้อง PAAAE ด้วยเหมือนกัน เพราะในหนังเรื่องนี้มีตัวละครที่เคยเป็นนักบินอวกาศ แต่ตอนหลังต้องหันมายึดอาชีพขับรถแท็กซี่


--ต้องขอขอบคุณคุณ SENSITIVEMAN เป็นอย่างสูงเลยค่ะกับไฟล์ยิมนาสติกต่างๆ พอดีวันนี้ดิฉันเข้าร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่แล้วได้เครื่องที่ไม่มีเสียง ก็เลยได้แต่ดูภาพการเล่นเปล่าๆโดยไม่มีเสียงประกอบ แต่ก็รู้สึกเพลิดเพลินเจริญใจมากค่ะ

รู้สึกว่าเครื่องเล่นที่ดิฉันนั่งใช้งานอยู่ตอนนี้ไม่มีบางโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วย ก็เลยดาวน์โหลดบางไฟล์มาดูไม่ได้ แต่วันหลังเวลาเปลี่ยนเครื่องใหม่จะลองดาวน์โหลดดูอีกที

เนมอฟน่ารักจริงๆค่ะ เสียดายที่เขาสะดุดเวลาลงสู่พื้นในไฟล์ที่สอง

ชอบการเล่นริบบิ้นของ GODUNKO มาก ชอบเวลาที่เธอต้องทำท่าบางท่า 3 ครั้งติดต่อกัน มันดูสวยดี โดยเฉพาะเวลาที่เธอต้องกลิ้งตัวไปกับพื้น 3 ตลบในช่วงท้ายการแสดง

ดูการเล่นริบบิ้นแล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า เพื่อนผู้ชายบางคนชอบเอาทิชชูมาเล่นเป็นริบบิ้นยิมนาสติกตอนเรียนม. 3 เป็นอะไรที่สนุกมาก เพราะกระดาษทิชชูเวลาดึงออกมาเป็นสายยาวๆ แล้วเอามาหมุนเร็วๆจนมันเคลื่อนตัวเป็นวงกลมอย่างต่อเนื่อง ก็ดูสวยงามดีเหมือนกัน เป็นความสนุกที่หาได้ง่ายๆในห้องเรียน

ส่วนการเล่น STICK ของยูตะนั้นก็ดูน่าทึ่งมาก ดูแล้วรู้สึกว่าเขาวิทยายุทธสูงมาก เอาเขาไปเล่นฉากบู๊กับหลี่เหลียนเจี๋ยได้เลย โดยให้เขาใช้ STICK เป็นอาวุธ เขากวัดแกว่งมันได้อย่างคล่องแคล่วจริงๆ อยากเล่น STICK ของเขาบ้างจัง

ส่วน SESINA นั้น ชอบสีริบบิ้นและสีเสื้อผ้าของเธอมากค่ะ เด็ดมาก

ดูการเล่นริบบิ้นเป็นทีมของบัลแกเรียกับรัสเซียแล้วต้องบอกว่าพวกเธอวิทยายุทธสูงมากค่ะ อยากให้หยวนหว่อผิงออกแบบฉากบู๊ในหนังสักเรื่องโดยได้รับแรงบันดาลใจจากการเล่นยิมนาสติกแบบนี้ อยากให้พวกเธอ 2 ฝ่าย ฝ่ายละ 5 คน มาต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย

ดูแล้วชอบการแสดงของบัลแกเรียมากกว่ารัสเซียค่ะ โดยเฉพาะในท่าที่มีคนนึงเอาตัวไปมุดลอดริบบิ้นของกลุ่มคนที่เหลือ (อยู่ในช่วงต้นๆ) และในท่าที่มีคนนึงรวบริบบิ้นมาถือไว้ทีเดียวประมาณ 3 อัน ก่อนจะเขวี้ยงมันไปให้คนอื่นๆ

ดูการเล่นริบบิ้นเป็นทีมแล้วนึกถึง “ค่ายกล” ในละครจีนมากๆ

ฉากเกี่ยวกับค่ายกลในละครจีนที่ชอบมากฉากนึงรู้สึกว่าจะอยู่ใน “เล็กเซียวหงส์” เสียดายที่จำชื่อคนเล่นและจำรายละเอียดไม่ได้แล้ว ถ้าหากจำผิดพลาดอะไรก็ต้องขออภัยด้วย รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองเขียนต่อไปนี้อาจมาจาก “ความทรงจำ 40 % + แต่งขึ้นมาเอง 60 %”

ในฉากนั้นเล็กเซียวหงส์ถูกใส่ร้ายว่าฆ่าศิษย์สำนักง้อไบ๊หรืออะไรสักอย่าง ศิษย์หญิง 7 คนของสำนักง้อไบ๊ก็เลยมาต่อสู้ทำร้ายเล็กเซียวหงส์ โดยพวกเธอใช้ “ค่ายกล 7 ดาว” หรืออะไรทำนองนี้ในการต่อสู้กับเล็กเซียวหงส์ ในฉากนั้น นางเอกกับนางรอง (รู้สึกจะใช้ชื่อตัวละครว่า “ซิปิง”) ก็ยืนดูเหตุการณ์อยู่ด้วย ซิปิงพูดเยาะเย้ยนางเอกว่า “ถ้าเก่งจริง หล่อนก็เข้าไปช่วยเล็กเซียวหงส์สิ” แต่นางเอกเป็นคนของพรรคมาร และไม่อยากเปิดเผยวิทยายุทธของตัวเอง เธอก็เลยเด็ดดอกกุหลาบที่ปักอยู่แถวนั้นแล้วขว้างไปใส่ศิษย์หญิงคนนึงในสำนักง้อไบ๊ สิ่งที่ฮามากๆๆๆๆๆก็คือว่ายัยศิษย์หญิงคนนั้นก็เอามือไปรับดอกกุหลาบที่ถูกเขวี้ยงมา เธอก็เลยโดนหนามตำมือ และทำให้ “ค่ายกล 7 ดาว” เสียกระบวน และช่วยให้เล็กเซียวหงส์หลุดรอดออกมาได้

ชอบฉากนี้มากๆ เพราะว่าฉากนี้แสดงให้เห็นไหวพริบปฏิภาณของนางเอกอย่างมาก นางเอกของเรื่องนี้มีทั้งวิทยายุทธและพลังจิต แต่เธอกลับแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ด้วยวิธีการที่ง่ายที่สุด นั่นก็คือขว้างดอกกุหลาบใส่ศัตรู และศัตรูก็ช่างโง่บรมโง่ที่เอามือไปรับดอกกุหลาบอย่างนั้น เป็นฉากที่คิดถึงทีไรก็แทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่


ตอบคุณแฟนสาวของคริส

JOHN ABRAHAM หล่อเซ็กซี่มากๆเลยค่ะ

ส่วนเรื่องความโกรธแค้นนั้น ดิฉันคงไม่สามารถให้คำแนะนำอะไรได้เลยค่ะ เพราะดิฉันเป็นคนที่พ่ายแพ้ต่ออารมณ์เหล่านี้เป็นประจำ หาทางแก้ไขไม่ได้เหมือนกัน แต่โชคดีหน่อยที่ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยมีปัจจัยมาเร้าให้ตัวเองเกิดอารมณ์แบบนี้บ่อยครั้งนัก

สิ่งที่พยายามจะทำแต่ทำไม่สำเร็จก็คือการพยายาม “มีสติ” อยู่ตลอดเวลา รู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเองอยู่ตลอดเวลา มีหลายๆครั้งที่ตัวเองก็รู้สึกหงุดหงิดโดยไม่มีเหตุผลใดๆทั้งสิ้น พอรู้ว่าตัวเองหงุดหงิดโดยไม่มีเหตุผลสมควรแล้ว ก็จะได้เปลี่ยนอารมณ์ตัวเองไปคิดถึงเรื่องอื่นๆ เพราะมีอยู่หลายครั้งที่ตัวเองอารมณ์เสีย และหงุดหงิด เพียงเพราะว่าตัวเองคิดถึงเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องคิด, หมกมุ่นถึงเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องหมกมุ่น หรือโกรธคนโดยไม่มีสาเหตุ เมื่อใดก็ตามที่เรารู้ตัวว่าเรากำลังถูกอารมณ์ด้านลบเข้าครอบงำ “โดยไม่มีเหตุผล” เราก็เปลี่ยนเรื่องคิดหรือปรับอารมณ์ได้โดยง่าย

ในขณะที่ “การทำใจให้สงบ” อาจจะต้องใช้เวลาระยะนึง สิ่งที่จะต้องใช้สติควบคุมก่อนเป็นลำดับแรกก็คือการแสดงออกทางกายและวาจา น้ำเสียงและสีหน้า ก่อนที่จะแสดงออกด้วยคำพูดหรือการกระทำอะไรจะต้องรีบไตร่ตรองให้ดีก่อน ก่อนแสดงออกไป
http://www.themakeupgallery.info/image/disguise/multi/widow1a.jpg

มีหลายครั้งที่ตัวเองรู้สึกดีใจมากที่ตัวเองไม่ได้แสดงอาการอะไรออกไปทั้งๆที่รู้สึกเกลียดคนบางคนเป็นอย่างมาก เพราะความรู้สึกเกลียดคนบางคนในบางครั้งนั้น มันคงอยู่ในใจเราเพียงแค่ 30-60 นาทีเท่านั้น ถ้าหากเราแสดงอาการไม่ดีออกไปในทันที มันก็อาจจะกลายเป็นการสร้างศัตรูคู่อาฆาตขึ้นมาโดยไม่จำเป็น และ “ชีวิตของเราอาจจะต้องเปลี่ยนแปลงตลอดไป” เพราะการแสดงออกในครั้งนั้น ไม่มีวินาทีใดในชีวิตเราที่เราสามารถเรียกมันกลับคืนมาได้อีก เราแสดงอะไรไม่ดีออกไปเมื่อ 5 วินาทีก่อน ตอนนี้มันก็สายไปแล้วที่จะลบการกระทำนั้นทิ้งไป เพราะฉะนั้นถ้าหากเราพยายามควบคุมการแสดงออกทางกายและวาจาให้ได้ตลอดเวลา นั่นก็จะช่วยให้ชีวิตเราปลอดภัยมากขึ้น ส่วนใจของเราที่ขุ่นข้องหมองมัวนั้น ในบางครั้งมันก็อาจจะหายไปได้เองในเวลาไม่นาน อันนี้อาจจะตรงกับสุภาษิตที่ว่า “น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก”

ถึงแม้ดิฉันจะรู้ตัวดีว่าสิ่งที่ดิฉันควรทำคือสิ่งที่เขียนไปข้างต้น แต่ในชีวิตจริงนั้น ก็พบว่าตัวเองรู้สึกสะใจอยู่หลายครั้งที่ได้ตอบโต้อะไรกลับไปบ้าง มีบางครั้งดิฉันนั่งอยู่เฉยๆ ก็มีคนเดินมาหาเรื่อง และดิฉันก็ด่ากลับไปในทันที รู้สึกสะใจและภาคภูมิใจที่ได้ด่ากลับไป แต่จริงๆแล้ว ก็รู้ตัวดีว่าสิ่งที่ตัวเองสมควรทำจริงๆในเวลานั้นก็คือนิ่งเฉย เพราะว่าตัว “คำด่า” เองนั้นไม่ได้ทำให้เราเป็นทุกข์ ใจของเราต่างหากที่ไปยึดไปติดเองว่า “การถูกด่า” คือความทุกข์ ถ้าหากเราไม่ไปติดยึดว่า “การถูกด่า” คือความทุกข์ เราก็ไม่เป็นทุกข์ ไม่ว่าใครจะมาด่าเรายังไงก็ตาม ขอเพียงจิตของเราไม่ไปเอาคำด่านั้นมาปรุงแต่ง เราก็เป็นสุขแล้ว คนที่ด่าเราเขาก็ประสงค์อยู่แล้วที่จะทำให้เราเป็นทุกข์ แล้วเราจะทำให้มันสมหวังด้วยการทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ทำไมล่ะ ขอเพียงเราแน่ใจมั่นใจในตัวเองว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด มั่นใจว่าสิ่งที่เขาด่าเราไม่ได้เกิดจากความผิดของเรา เราก็เป็นสุขแล้ว หลายๆครั้งคนที่เขาด่าเรา มันเกิดจากความอิจฉาริษยาของเขา มันเกิดจากกิเลสตัณหาของเขา เราจะต้องไม่หวั่นไหวไปกับคำพูดประทุษร้ายของคนเหล่านี้เป็นอันขาด


--ในบางครั้งดิฉันก็พบว่าความหงุดหงิดและอารมณ์ที่ไม่ดีของดิฉัน เกิดจากการที่ดิฉัน “คาดหวัง” อะไรบางอย่างจากคนบางคน และพบว่าเขาไม่สามารถเป็นอย่างที่เราหวังไว้ จุดนี้อาจจะแก้ได้ด้วยการเลิกคาดหวังอะไรทั้งสิ้นจากคนอื่นๆ โดยเฉพาะจากคนที่เรารัก บางครั้งคนที่เรารักอาจจะด่าเราว่าชั่วช้าเลวทรามอะไรต่างๆนานา ดิฉันก็เคยเสียใจอย่างรุนแรงอยู่พักนึง แต่ตอนหลังก็ได้คิดว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เขาด่าว่าเราผิดทั้งๆที่เราไม่ได้ทำอะไรผิด เราอยู่เฉยๆของเราแท้ๆ แล้วเราจะต้องมาเสียใจทำไมกัน เรารักเขาเพราะเขาเคยดีกับเรา เพราะเขาเคยมีพระคุณกับเรา แต่เราไม่ต้องการความรักใดๆทั้งสิ้นจากเขาอีกต่อไปแล้ว เรายังคงรักเขาเหมือนเดิม แต่เขาจะเกลียดเรา ด่าเรา ชิงชังเรา หาว่าเราผิด หรืออะไรก็ตาม เราก็ไม่สนใจอีกต่อไป เพราะเราไม่ต้องการอะไรจากเขาทั้งสิ้นแม้แต่ “ความรัก” เรารู้ว่าเราทำดีที่สุดแล้ว ถ้าหากเขายอมรับจุดนี้ไม่ได้ ก็เชิญเขา “สร้างความทุกข์ให้ตัวเองต่อไป” ส่วนเราก็จะยังคงใช้ชีวิตอย่างดีที่สุดของเราต่อไป เราจะไม่ยอมให้เขามาตัดสินคุณค่าของเราอีกแล้ว หลายๆครั้งเรามักให้ “คนที่เรารัก” เป็นผู้ที่ตัดสินคุณค่าของเรา พอเรามีคุณค่าน้อยลงในสายตาของเขา เราก็มักจะเป็นเดือดเป็นร้อนเป็นอย่างมาก แต่จริงๆแล้วเราสามารถตัดสินคุณค่าของตัวเองได้ด้วยตัวเอง เราย่อมรู้อยู่แก่ใจดีว่าเรามีศักยภาพแค่ไหน รู้ดีว่าอะไรคือ “ทางสายกลาง” สำหรับเรา รู้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่เหมาะที่สุดสำหรับเรา ถ้าหากเรามั่นใจว่าเราทำดีที่สุดแล้ว เราก็ไม่สนใจอีกต่อไปว่าคนที่เรารักจะเกลียดชังเรามากขนาดไหน เพราะเรารักตัวเองมากกว่า

สรุปสั้นๆว่า ดิฉันเคยเป็นทุกข์มากๆอยู่ช่วงนึง แต่ตอนหลังก็ได้คิดว่า ความทุกข์นั้นเกิดจากการที่ดิฉัน “คาดหวังความรัก” จากคนบางคน ดังนั้นดิฉันก็เลยยุติความคาดหวังนั้นซะเพื่อเป็นการดับทุกข์ ยิ่งดิฉันต้องการความรักจากคนอื่นน้อยลงเท่าไหร่ ดิฉันก็ยิ่งเป็นสุขมากขึ้นเท่านั้น

--ดิฉันไม่สามารถดับอารมณ์โกรธแค้นในใจตัวเองลงได้เลย หวุดหวิดจะตอบโต้อย่างรุนแรงไปแล้วในหลายๆครั้ง แต่การที่ตัวเองยังมีอายุอยู่มาได้ถึง 32 ปีนั้น ไม่ได้เป็นเพราะตัวเองดับอารมณ์โกรธลงได้ แต่เป็นเพราะดวงดีและโชคช่วยมากกว่า

มีบางช่วงในชีวิตที่ดิฉันเคยซ่อนมีดไว้ใต้หมอน, ซ่อนมีดไว้ใต้เตียง, พกมีดติดตัว เพราะกะว่าถ้าหาก “มัน” มาทำร้ายดิฉัน ดิฉันก็จะสู้ตายกับมัน โชคดีที่ “มัน” ออกห่างไปจากชีวิตของดิฉันก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่ดี การที่ดิฉันรอดชีวิตมาได้นี้เป็นเพราะโชคช่วย ไม่ใช่เพราะตัวเองดับความเกลียดชังลงได้
http://www.moderntimes.com/bab/bio_image/bio7.jpg

แต่ก็ยังมี “มัน” ตัวอื่นๆอีกที่ทำร้ายดิฉัน ดิฉันก็เลยแก้ปัญหา ด้วยการทำงานหาเงินจนสามารถอยู่ตามลำพังคนเดียวได้ “มัน” ก็เลยไม่สามารถทำร้ายดิฉันได้อีก

แต่ในการอยู่ตามลำพังคนเดียวนั้น ก็ต้องเผชิญกับศัตรูอยู่เหมือนกัน เพราะถึงแม้ว่าดิฉันจะไม่มีศัตรูอยู่ในอพาร์ทเมนท์ของดิฉัน ดิฉันก็ยังคงเผชิญกับศัตรูอยู่เป็นระยะๆในสถานที่อื่นๆ ศัตรูบางคนก็ทำให้ดิฉันโกรธแค้นอย่างรุนแรงมาก แต่ดิฉันก็รอดชีวิตมาได้เพราะโชคช่วยหรือดวงดีเช่นกัน เพราะศัตรูเหล่านั้นมักจะผ่านเข้ามาในชีวิตเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ขอเพียงเราอดทนสักระยะ มันก็จะออกจากชีวิตของเราไปเอง

ในช่วงที่ต้อง “อดทนสักระยะ” นี้ ดิฉันก็มักจะพบว่าอารมณ์ “โกรธ” ของดิฉันมักจะกลายเป็น “พยาบาท” และ “ความพยาบาท” ของดิฉันก็มักจะกลายเป็น “ความขี้เกียจ” ในเวลาต่อมา ยกตัวอย่างเช่น

1.นายเอ ทำให้ดิฉันโกรธอย่างรุนแรงมาก

2.ดิฉันอยากจะด่านายเออย่างรุนแรง อยากจะทำร้ายนายเออย่างรุนแรง อยากจะตอบโต้นายเออย่างรุนแรง

3.แต่ดิฉันก็คิดได้ว่าถ้าหากดิฉันจะทำร้ายนายเอให้ “สำเร็จ” สิ่งที่ดิฉันต้องทำประการแรกก็คือ “มีสติ” ความโกรธเป็นไฟที่ย่อมต้องเผาผลาญผู้โกรธอย่างแน่นอน แต่ผู้โกรธก็มีทางเลือกว่า

3.1 ดับไฟแห่งความโกรธนั้นลงซะ ซึ่งดิฉันทำไม่ได้

3.2 โกรธแค้นต่อไป และตอบโต้อย่างขาดสติ ซึ่งอาจส่งผลให้การตอบโต้นั้นไม่สำเร็จ ศัตรูไม่ถูกทำร้าย ศัตรูมีวิทยายุทธสูงกว่าเราก็เลยหลบรอดจากเราไปได้และนั่นก็เท่ากับว่าไฟแห่งความโกรธเผาผลาญเราเพียงคนเดียว

3.3 มีสติควบคุมตัวเองอย่างเต็มที่ วางแผนอย่างรอบคอบ ยิ้มหวานกับศัตรู ทำให้ศัตรูตายใจให้มากที่สุด ทำให้ศัตรูประมาทชะล่าใจให้มากที่สุด แล้วค่อยจัดการกับมัน วิธีการนี้ก็เท่ากับว่าไฟแห่งความโกรธเผาผลาญทั้งตัวเราเองและศัตรูของเรา

ดิฉันรู้ดีว่าดิฉันควรทำข้อ 3.1 แต่ดิฉันไม่สามารถทำได้ เพราะฉะนั้นดิฉันก็เลยต้องเลือกระหว่างข้อ 3.2 กับ 3.3 ว่าจะทำร้ายตัวเองด้วยการตอบโต้อย่างโง่ๆ หรือจะทำร้ายทั้งตัวเองและศัตรูด้วยการตอบโต้อย่างรอบคอบ ซึ่งดิฉันก็คิดว่าเลือกข้อ 3.3 น่าจะดีกว่า

4.ดิฉันก็เลยทำดีที่สุดกับศัตรูไปเรื่อยๆ เพื่อจะได้จัดการกับมันได้อย่างสะดวกง่ายดายในภายหลัง ความโกรธแบบใจร้อนได้แปรเปลี่ยนไปเป็นความพยาบาทแบบ “ใจเย็น “ ค่อยๆวางแผนไปเรื่อยๆ ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับศัตรูให้มากที่สุด
http://tedstrong.com/graphics/obit_greer2.jpg

5.แต่ปรากฏว่าดิฉันไม่เคยได้แก้แค้นใครสักที เพราะพอเวลาผ่านไปสักระยะนึง ดิฉันก็จะรู้สึก “ขี้เกียจ” และก็เลยเลิกวางแผนแก้แค้นซะ และก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสนุกสนานไปเรื่อยๆ เอาไว้มันมาทำเลวๆกับดิฉันใหม่ ดิฉันค่อย “วางแผน” ใหม่ ถ้าหากมันทำชั่วช้าสารเลวกับดิฉันอย่างต่อเนื่องยาวนานและรุนแรงจริงๆ ความพยาบาทในใจดิฉันอาจจะไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นความขี้เกียจอีกแล้วก็ได้ แต่อาจจะกลายเป็นไฟนรกที่เผาผลาญขึ้นมาจริงๆ แต่โชคดีที่ดิฉันยังไม่เคยเจอใครที่ทำให้รู้สึกแบบนั้น

สรุปก็คือว่าเมื่อดิฉันโกรธ ดิฉันจะยิ้มหวานให้ศัตรูและทำดีกับศัตรู เพื่อจะได้จัดการกับมันอย่างสาสมได้ง่ายในภายหลัง (ดิฉันคือ “เวลุลี” ค่ะ) แต่หลังจากนั้นดิฉันก็จะขี้เกียจ และก็เลิกล้มแผนแก้แค้นเสียทุกคราวไป


--สำหรับคนที่เคยทำร้ายเราอย่างรุนแรงในอดีตนั้น ดิฉันก็จะ

1.หาทางป้องกันไม่ให้มันสามารถทำร้ายเราได้อีก และเราจะต้องไม่มีวันตกหลุมพรางของมันอีก “เจ็บแล้วต้องจำ เพราะถ้าเราไม่จำ เราจะเจ็บแล้วเจ็บอีกอย่างไม่มีวันสิ้นสุด”

2.ถึงแม้มันไม่สามารถทำร้ายเราได้อีกแล้ว เราก็ยังคงรู้สึกอยากแก้แค้นมันอยู่ดี ซึ่งดิฉันก็จะบอกตัวเองว่า “ให้กฎแห่งกรรมจัดการกับมันแทนแล้วกัน ดิฉันขอหมกมุ่นกับกฎแห่งกามอย่างเดียวดีกว่า”

3.แต่ในบางครั้ง อารมณ์โกรธแค้นก็ยังคงผุดขึ้นมาเป็นระยะๆ บางทีเราไม่รู้ตัว นั่ง,ยืน, เดิน, นอน เป็นเวลาหลายชั่วโมง โดยที่หัวคิดถึงแต่เรื่องเลวร้ายที่เราเคยถูกกระทำมาในอดีต

แต่พอเรารู้ตัวปุ๊บ เราก็หยุดคิดซะ และหันไปคิดถึงเรื่องอื่นๆแทน มีสิ่งที่คิดถึงแล้วทำให้เป็นสุขอีกมากมายหลายอย่าง เรา “ไม่สามารถเลือกอดีต” ของตัวเองได้ เรา “ไม่สามารถแก้ไขอดีต” ของตัวเองได้ แต่ ณ วินาทีนี้ เรา “เลือกได้” ว่าเราจะคิดถึงเรื่องอะไร เราเลือกได้ว่าจะคิดถึงอดีตส่วนไหนของชีวิต เพราะฉะนั้นเราจะไม่ทำร้ายตัวเองในวินาทีนี้ด้วยการเลือกคิดถึงสิ่งที่ไม่ควรคิด มันทำร้ายร่างกายเราไปแล้วในอดีต แต่เราจะไม่ทำร้ายตัวเองในปัจจุบันด้วยการเลือกคิดถึงเรื่องนั้น เพราะคิดไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมากับตัวเราเองทั้งสิ้น

บางครั้งดิฉันก็รู้สึกว่า ความทรงจำถึงอดีตที่เคยถูกทำร้าย บางทีมันก็เหมือนกับขี้หมาที่อยู่ใกล้ๆเราอย่างเป็นการถาวร เราไม่สามารถกวาดหรือกำจัดมันออกไปได้ และไม่สามารถเดินหนีมันไปได้ สิ่งที่เราทำได้มีแค่เพียงหันไปมองสิ่งอื่นๆแทน เลิกใส่ใจกับมัน หันไปมองสิ่งสวยๆงามๆอีกมากมายที่อยู่รอบตัวเรา มันเป็นเพียงขี้หมา มันไม่กระโดดมากัดเราหรือมาเปื้อนเราได้เองหรอก แต่ถ้าหากเราเลือกที่จะหยิบอดีตที่เลวร้ายนั้นขึ้นมาคิดซ้ำไปซ้ำมา มันก็เหมือนกับเราเอาจมูกไปดมขี้หมา เอาลิ้นไปเลียขี้หมา เอามือไปขยำขี้หมา แล้วก็บ่นว่าเหม็นเหลือเกิน น่าสะอิดสะเอียนเหลือเกิน ทั้งๆที่ไม่มีใครสั่งหรือบังคับให้คุณเอามือไปขยำขี้หมาสักหน่อย คุณเลือกเองแท้ๆที่จะเอามือไปขยำขี้หมาเอง แล้วก็บ่นเอง ถ้าหากคุณยืนอยู่เฉยๆ แล้วหันไปมองหนุ่มหล่อที่ยืนเปลือยกายอยู่แถวนั้น แทนที่จะเพ่งความสนใจไปที่ขี้หมา คุณก็มีความสุขไปแล้ว

สุดท้ายนี้ก็ขออวยพรให้คุณแฟนสาวของคริสสามารถทำให้ตัวเองอยู่ในสถานะที่ศัตรูไม่สามารถมาทำร้ายได้อีกค่ะ และก็อย่าเชื่อในสิ่งที่ดิฉันเขียน เพราะการเชื่อในคนอื่น อาจเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองถูกทำร้ายได้ โฮะๆๆๆๆๆ (แบบว่าดูละครเรื่อง THE X-FILES มากไปหน่อยค่ะ)

No comments: