Sunday, December 04, 2005

KHAVN DE LA CRUZ'S FILMS ARE COMING

ตอบคุณ THUNSKA

เป็นโปรเจคท์ที่เริ่ดมากๆค่ะ

เคยมีเพื่อนให้เสื้อยืดมาตัวนึงเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน เสื้อยืดมีประโยคว่า “I WISH I WAS STRAIGHT” ซึ่งก็หมายความว่า “ฉันเป็นเกย์” นั่นเอง เวลาใส่เสื้อยืดตัวนี้เดินไปไหนมาไหน ฝรั่งหนุ่มๆชอบมองแล้วชี้ชวนให้เพื่อนๆดู

รู้สึกว่าประโยคนั้นก็อาจจะผิดหลักไวยากรณ์เหมือนกัน ไม่ค่อยแน่ใจในเรื่องนี้เท่าไหร่ เพราะไม่ได้เชี่ยวชาญด้านไวยากรณ์ จริงๆแล้วมันน่าจะเขียนว่า “I WISH I WERE STRAIGHT” หรือเปล่า แต่การเขียนภาษาตามหลักไวยากรณ์มันก็อาจจะทำให้แตกต่างจากภาษาพูดในชีวิตประจำวันได้เหมือนกัน

ตอนนี้อยากใส่เสื้อยืดที่มีประโยคว่า “PLEASE RAPE ME”

อ่านเรื่องราวของการโดนแย่งผัวแล้วทำให้นึกถึงเพลงที่ชอบมากๆเพลงนึงค่ะ นั่นก็คือเพลง TAKE HIM BACK RACHEL ของ BASIA เนื้อเพลงก็คือว่าผัวของคนร้องไปหลงรักราเชล คนร้องก็เลยบอกว่าราเชลว่าแกเอาผัวของฉันไปเถอะ แกไม่ต้องมาทำหยิ่งหรอก เพราะถ้าเขาไม่รักฉัน ฉันก็ไม่ต้องการเขาอีกต่อไปแล้ว

เพลงนี้อยู่ในอัลบัมชุด LONDON WARSAW NEW YORK (A+) ที่มีเพลงที่เพราะสุดอย่างๆ COPERNICUS และ BRAVE NEW HOPE
http://www.amazon.com/gp/product/B0000026WX/qid=1133658033/sr=2-1/ref=pd_bbs_b_2_1/102-9310000-8484965?s=music&v=glance&n=5174

BASIA เคยเป็นสมาชิกวง MATT BIANCO ที่ทำเพลงที่เพราะมากๆๆๆๆเหมือนกัน
http://www.emarcy.com/bianco/
http://images.amazon.com/images/P/B0007KTB8U.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

TAKE HIM BACK RACHEL

(Basia Trzetrzelewska & Danny White)Take him back RachelIt's time to stop lyingWhen he looks at me he's dreaming of your eyesDon't be hard RachelThere is no denyingHe wa never truly happy in my armsTake him back, oh take him back RachelIgnore what people say and listen to your heartSomeone up there knows it is only your silly prideMaybe that's the best thing that ever happened to youSail against the windAgainst the tideDon't say it's not rightTake him backTake him back RachelHe is pining for youJust a mention of your nameHis heart fluttersDon't waste time RachelSure you know tooThat being with him is the only thing that matters


ตอบน้อง MATT + SENSITIVEMAN

การแข่งขันที่ได้คะแนนเต็ม 10 เท่าที่เคยดู ก็มี ELENA CHOUCHOUNOVA (หรือ SHUSHUNOVA) จากรัสเซีย ตอนที่แข่งโอลิมปิกปี 1988 ตอนที่เธอเล่น FLOOR EXERCISE กับกระโดดข้ามม้าขวาง (VAULT) ในขณะที่คู่แข่งคนสำคัญของเธอ DANIELA SILVAS จากโรมาเนีย ก็ทำคะแนนเต็ม 10 ตอนเล่น FLOOR EXERCISE ได้เหมือนกัน

จำได้ว่าตอนนั้น CHOUCHOUNOVA เล่น FLOOR EXERCISE ก่อน และก็เล่นได้ดีมาก และก็ได้ 10 เต็มไป หลังจากนั้น SILVAS ก็เล่น FLOOR EXERCISE ด้วยสไตล์ที่ร่าเริงสดใสมาก และก็ได้ 10 เต็มไปเหมือนกัน โดยส่วนตัวแล้ว คิดว่าการแสดงของ CHOUCHOUNOVA ในครั้งนั้นสมบูรณ์แบบแต่ยัง “มหัศจรรย์” น้อยกว่าของ SILVAS เล็กน้อย แต่ CHOUCHOUNOVA โชคดี ตรงที่ได้แสดงก่อน SILVAS กรรมการก็เลยยังไม่มีของที่ดีกว่ามาเปรียบเทียบ ถ้าหาก CHOUCHOUNOVA ได้แสดงหลังจาก SILVAS ก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะได้ 10 เต็มหรือเปล่า

หลังจากนั้น CHOUCHOUNOVA ก็ไปกระโดดข้ามม้าขวาง เป็นการแข่งขันอันสุดท้ายของเธอในรอบรวมคะแนนหลายอุปกรณ์ ซึ่งถ้าหากเธอได้ 10 เต็มจากม้าขวาง เธอก็จะชนะ SILVAS ในทันที จำได้ว่าตอนนั้นผู้ชมลุ้นกันสุดชีวิต และ CHOUCHOUNOVA ก็ทำได้สำเร็จ พอเธอกระโดดเสร็จ คะแนนจากกรรมการยังไม่ออกมา กล้องก็ฉายให้เห็นใบหน้าของ SILVAS ว่าเธอหน้าเสียมาก SILVAS รู้ได้ในทันทีว่า CHOUCHOUNOVA ต้องได้ 10 เต็มอย่างแน่นอน และพอคะแนนออกมา กล้องก็ฉายให้เห็นใบหน้าของ CHOUCHOUNOVA พร้อมด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ ดิฉันคิดว่าในตอนนั้น CHOUCHOUNOVA เธอยิ้มเหมือนนางเอก แต่เพื่อนสนิทดิฉันบอกว่าตอนนั้น CHOUCHOUNOVA ยิ้มเหมือนนางอิจฉา รู้สึกตลกดีที่คนมอง “รอยยิ้ม” เดียวกันแต่มีความเห็นที่ตรงข้ามกันได้

ชอบโมเมนท์ช่วงการขับเคี่ยวกันอย่างถึงพริกถึงขิงระหว่าง ELENA CHOUCHOUNOVA กับ DANIELA SILVAS ในปี 1988 มากค่ะ มันเป็น ONE MOMENT IN TIME แบบเพลงของวิทนีย์ ฮุสตันจริงๆ

DANIELA SILVAS
http://www.gymnastica.com/olympic/gymnasts/silvas.html

แต่ถ้าหากพูดถึงรูปร่างของนักกีฬาแล้ว ดิฉันชอบรูปร่างของนักกีฬาหญิงยิมนาสติกลีลาใหม่มากกว่าค่ะ เพราะนักกีฬาหญิงยิมนาสติกธรรมดา มักจะดูบึกๆ แต่ถ้าหากเป็นยิมนาสติกลีลาใหม่ รูปร่างของหลายๆคนจะดูผอมเพรียวบางมากๆ

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ตัวเองชอบดูยิมนาสติก ดิฉันคิดว่าคงเป็นเพราะดิฉันชอบดูละครจีนกำลังภายใน ชอบดู “หยางพ่านพ่าน” ตีลังกาเวลาเล่นละครอย่าง “8 เทพอสูรมังกรฟ้า” และ “โคมวิเศษเจ้าแม่หัวซาน” และการเล่นยิมนาสติกมันก็มีลีลาคล้ายๆลีลาการต่อสู้ในละครจีนกำลังภายในอยู่เหมือนกัน เวลาดูยิมนาสติกก็เลยชอบจินตนาการไปด้วยว่าอยากให้มีลีลาการต่อสู้แบบนี้ปรากฏอยู่ในหนังบ้าง

ริบบิ้นของพวกเธอสามารถตัดคอคนขาดได้ 10 คนภายใน 1 วินาที เพราะฉะนั้นค่ายกลของพวกเธอจึงน่าสะพรึงกลัวมากๆ
http://trevinosgymnastics.com/learn/group%20ribbon.jpg

ในละครทีวีเรื่อง “สิงห์สาวนักสืบ ปี 2” ก็มีผู้ร้ายหญิง 3 คนที่ใช้ “ริบบิ้นยิมนาสติก” เป็นอาวุธ และเป็นอาวุธที่ทรงอานุภาพมากๆ เพราะสามารถปัดอาวุธทุกอย่างที่ฝ่ายนางเอกระดมขว้างใส่ให้เปลี่ยนวิถีไปได้หมด

รู้สึกว่าในละครจีนกำลังภายในบางเรื่อง ก็มีตัวละครหญิงที่ใช้อาวุธคล้ายๆห่วงยิมนาสติกด้วยเหมือนกัน

ภาพการฝึกวิทยายุทธและการใช้อาวุธของสำนักต่างๆ
http://www.graceclick.ca/photos/02worldrg/saturday/canada5881.jpg

http://www.tomtheobald.com/gallery/albums/album05-buda03/bessonova636buda20030927ukr_300pxl.jpg

http://www.drjump.com/images/rhythmic%20gymnastics.jpg

http://www.craftsofchaddsford.com/images/jesgym4.jpg

อยากให้พวกเธอเป็นกลุ่มมือสังหารในหนังเรื่องใหม่ค่ะ


ตอบน้อง WA_Y

ยิ่งเป็นเรื่องที่เที่ยวเอาไปบอก ไปเล่าให้ใครฟังไม่ได้ ก็ยิ่งสุดแสนจะยากเย็น จะให้กูลืม กูทำใจได้ไงว่ะ คิดว่ามันง่ายนักเหรอไงฟะ สิ่งที่มันอยู่ข้างในมันเดือดปุดๆ จะเอาออกมาเฟี้ยงใส่หัวใครก็ไม่ได้ จะลืมก็ยากที่จะลืม เช็ด ทำไรไม่ได้เลยรึไงว่ะ

อ่านที่น้องเขียนแล้วก็คิดถึงความแค้นของตัวเองเหมือนกันค่ะ ดิฉันเองก็เคยหมกมุ่นกับความรู้สึกอยากตอบโต้แก้แค้นอย่างรุนแรงมากๆเหมือนกันในวัยเด็ก โชคดีหน่อยที่พอเรียนจบแล้ว ก็ย้ายออกมาอาศัยอยู่ตามลำพัง และก็เลยปิดโอกาสไม่ให้คนอื่นมาทำร้ายเราได้ง่ายๆเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้ก็อยู่คนเดียวมานาน 10 ปีแล้ว รู้สีกมีความสุขมากที่ตัวเองไม่ต้องถูกทำร้ายอีก แต่บางที “ความแค้น” ก็ผุดขึ้นมาในใจเป็นระยะๆเหมือนกัน รู้สึกว่าอยากกลับไปตอบโต้คนที่เคยทำร้ายเราในวัยเด็ก แต่ก็พยายามบอกตัวเองว่า “ให้กฎแห่งกรรมจัดการกับพวกมันเองก็แล้วกัน” ตอนนี้ขอแค่พวกมันไม่สามารถมาทำร้ายเราได้อีกก็พอแล้ว


ตอบคุณ CHRIS’S GIRLFRIEND

ฮือ ฮือ ฮือ อยากอ่านที่คุณ CHRIS’S GIRLFRIEND เขียนมากๆๆเลยค่ะ

สำหรับการป้องกันอุบัติเหตุข้อความสูญหายนั้น ดิฉันใช้วิธีนี้ค่ะ

1.ดิฉันเขียนลง MICROSOFT WORD ไว้ก่อน

2.ขณะที่เขียน ก็ SAVE สิ่งที่เขียนลง DRIVE C เป็นระยะๆ

3.นอกนั้นยังไม่พอ ดิฉันยัง SAVE สิ่งที่เขียนลงแผ่น DISKETTE ใน DRIVE A ทุกๆครึ่งชั่วโมงด้วย เพราะดิฉันใช้อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ ถ้าหากไฟฟ้าดับหรือเกิดอะไรขึ้นมา ข้อมูลใน DRIVE C อาจถูกลบไปได้เวลาสตาร์ทเครื่องใหม่

4.นอกจากเอาข้อมูลมาโพสท์ลงใน SCREENOUT แล้ว ดิฉันยังเอาไปโพสท์ลงใน BLOG ของตัวเองด้วย เผื่อวันไหนเว็บไซท์ไหนเกิดเสีย จะได้มีสำรองเก็บไว้


เห็นในเว็บไซท์ http://www.patravaditheatre.com/ บอกว่าเดือนนี้จะมีหนังสั้นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาฉายที่สตูดิโอ 1 ภัทราวดีเธียเตอร์ด้วยค่ะ บัตรชมหนังสั้นราคา 150 บาทต่อวัน พิเศษ 500 บาทชมได้ทุกรอบ

เริ่มฉายเวลา 19.30 น.

MON 12 DEC
TAN PIN PIN (SINGAPORE)
TAN CHUI MUI (MALAYSIA)

TUE 13 DEC
FAOZAN RIZAL (INDONESIA)

WED 14 DEC
KHAVN DE LA CRUZ (PHILIPPINES)
************ห้ามพลาด ห้ามพลาด ห้ามพลาด***********

THURSDAY 15 DEC
SALLY INGLETON (CAMBODIA)
BERNARD CHAULY (MALAYSIA)
RHOADA GRAUER (INDONESIA)

TUESDAY 20 DEC
FAOZAN RIZAL (INDONESIA)

WED 21 DEC
KHAVN DE LA CRUZ (PHILIPPINES)

THURSDAY 22 DEC
TAN PIN PIN (SINGAPORE)
TAN CHUI MUI (MALAYSIA)

ดิฉันไม่รู้รายละเอียดอะไรเกี่ยวกับเทศกาลนี้เลยค่ะ สอบถามรายละเอียดได้ที่ ภัทราวดีเธียเตอร์ตามเว็บไซท์ข้างบน หรือที่โทร 02-412-7287-8

อยากดูหนังสั้นของ KHAVN DE LA CRUZ จากฟิลิปปินส์มากค่ะ เพราะรู้สึกว่าหนังของเขาจะเฮี้ยนมากๆ นิตยสาร FILM COMMENT เล่มเดือน JULY-AUG 2005 หน้าปก ZHANG ZIYI เพิ่งลงบทความขนาดยาวเกี่ยวกับ KHAVN DE LA CRUZ

อ่านบทสัมภาษณ์ KHAVN DE LA CRUZ โดย ALEXIS TIOSECO ได้ที่
http://www.sensesofcinema.com/contents/05/34/khavn_de_la_cruz.html


--กะว่าอาจไปดูหนังของ KHAVN DE LA CRUZ ในวันพุธที่ 14 ธ.ค.ค่ะ ส่วนในวันพุธที่ 21 ธ.ค. นั้น อาจจะไปดูหนังเรื่อง KNOCKIN’ ON HEAVEN’S DOOR (1997, THOMAS JAHN) ที่สถาบันเกอเธ่ ซ.สาทร 1 เวลา 18.30 น.

ดูโปรแกรมการฉายหนังของเกอเธ่ได้ที่
http://www.goethe.de/ins/th/ban/ver/th907574.htm

KNOCKIN’ ON HEAVEN’S DOOR มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายหนุ่มสองคนที่ป่วยหนักกำลังจะตาย ทั้งสองเลยตัดสินใจเดินทางไปเที่ยวทะเลเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตาย

KNOCKIN’ ON HEAVEN’S DOOR นำแสดงโดย JAN JOSEF LIEFERS และสุดหล่อ TIL SCHWEIGER โดยมีดาราหนุ่มน่ารัก MORITZ BLEIBTREU มาร่วมแสดงด้วย

KNOCKIN’ ON HEAVEN’S DOOR
http://www.cinelove.com/cinelove/main/pds/poster/k/Knockin.jpg
http://www.kino.de/pix/newspics/GALERIE/159463_4.jpg

TIL SCHWEIGER
http://www.celebrities.pl/til_schweiger/til1.jpg

MORITZ BLEIBTREU
http://www.fodoh.de/img/celebrity/bleibtreu1g.jpg


อ่านพล็อตเรื่องของ KNOCKIN’ ON HEAVEN’S DOOR แล้วนึกขึ้นมาได้ว่า มีหนังอีก 2 เรื่องที่มีพล็อตใกล้เคียงกัน นั่นก็คือเรื่องของชายหนุ่มที่กำลังจะตาย และเขากับเพื่อนๆก็เลยออกเดินทางด้วยกันเป็นครั้งสุดท้าย โดยดาราที่มักมาเล่นในหนังแนวนี้มักจะหล่อน่ารัก
หนังอีก 2 เรื่องที่ใกล้เคียงกับ KNOCKIN’ ON HEAVEN’S DOOR ก็คือเรื่อง

1.OCEAN TRIBE (1997, WILL GEIGER, A+)
http://www.imdb.com/title/tt0119817/
หนังเรื่องนี้เคยมาฉายที่เอ็มโพเรียมในปี 1998 และฉายตามเคเบิลทีวี เป็นหนังอินดี้ของสหรัฐที่อบอุ่นน่ารักและหล่อสุดๆ


2.ONE-WAY TICKET TO MOMBASA (2002, HANNU TUOMAINEN, B-/C+)
http://www.imdb.com/title/tt0328132/
หนังฟินแลนด์ที่เคยเข้ามาฉายในเทศกาลหนังยุโรป


--ส่วนในเทศกาลหนังทดลองในช่วงปลายเดือนธ.ค.นี้นั้น หนึ่งในโปรแกรมที่อยากดูมากก็คือหนังของ JOHN SMITH ค่ะ หนังของเขาเคยเข้ามาฉายในกรุงเทพแล้ว 2 เรื่อง ซึ่งก็คือ BLIGHT (1996, A+++++++++++) ที่เข้ามาฉายในกรุงเทพในเดือนธ.ค.ปี 1999 และเรื่อง ASSOCIATIONS (1975, A+) ที่เข้ามาฉายในกรุงเทพในเดือนส.ค.ปีนี้

อ่านบทความเกี่ยวกับ JOHN SMITH ได้ที่
http://www.sensesofcinema.com/contents/03/29/john_smith.html


--ส่วนในวันอาทิตย์ที่ 4 ส.ค.นี้ ก็มีหนังฉายที่ TK PARK, CENTRAL WORLD PLAZA สองเรื่องค่ะ ซึ่งก็คือ

1.THE MUSIC MAN (2003, JEFF BLECKNER) ฉายเวลา 12.00น. หนังเพลงเรื่องนี้นำแสดงโดย MATTHEW BRODERICK (THE STEPFORD WIVES) กับ KRISTIN CHENOWETH (BEWITCHED)
http://www.imdb.com/title/tt0293437/

2.”เมืองในหมอก” (เพิ่มพล เชยอรุณ, A+++++++++++++++) ฉายเวลา 15.00 น.


--หนังที่น่าสนใจที่ลงโรงฉายในตอนนี้ยังรวมถึงหนังสยองขวัญเรื่อง THE MAID (2005, KELVIN TONG, SINGAPORE) ด้วยค่ะ หนังมีฉายรอบดึกตามโรงต่างๆหลายโรงด้วยกัน ซึ่งรวมถึงที่โรงเซ็นจูรี่ เดอะ มูฟวี่ พลาซ่า ในห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่ ตรงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หนังมีฉายรอบ 20.00 น.

น้อง ZM ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะว่าใครจะหาว่า “บ้าผู้ชาย” เพราะถึงแม้น้องจะบ้าผู้ชายมากกว่าเพื่อนๆบางคนนอกเว็บบอร์ด แต่ใน SCREENOUT แห่งนี้ น้องอาจจะติดอันดับท้ายๆในด้านความบ้าผู้ชายค่ะ โฮะๆๆๆๆ

THE GREAT RAID

ประโยคบางประโยคในหนังเรื่องนี้ ทำให้นึกถึงคำขวัญของทหาร และคำโปรยของหนังเรื่อง BLACK HAWK DOWN (2001, RIDLEY SCOTT, B) ที่ว่า

“LEAVE NO MAN BEHIND”
(เราต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง)

แต่รู้สึกว่าประโยคแบบนี้จะน่าเบื่อมาก ที่จริงแล้วคำขวัญของทหารรุ่นใหม่ๆควรจะเป็นว่า

“GIVE MAN YOUR BEHIND”
(จงมอบก้นของคุณให้ผู้ชาย)

มากกว่า โฮะ โฮะ โฮะ โฮะ โฮะ


ความเห็นและข้อมูลเกี่ยวกับหนังที่ได้ดูในช่วงนี้

1.TREES (2001, SOPHIE BRUNEAU + MARC ANTOINE ROUDIL, A+)

ตอนที่บอกว่าดูหนังสารคดีวิทยาศาสตร์เรื่องนี้แล้วทำให้นึกถึงหนังของ ALAIN RESNAIS นั้น ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่าหนังของ RESNAIS เองนั้นก็เหมือนจะมีอะไรบ้าๆบอๆที่ทำให้นึกถึงวิทยาศาสตร์แทรกเข้ามาด้วยเหมือนกัน อย่างเช่น

1.1 MY AMERICAN UNCLE (1980) มีเนื้อหาบางส่วนเกี่ยวกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพฤติกรรมของหนู ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมหลายๆอย่างของมนุษย์ (แถมตอนหลังยังมีมนุษย์ที่มีหัวเป็นหนูด้วย)

1.2 LOVE UNTO DEATH (1984) มีการแทรกฉากของตัวอะไรบางอย่างคล้ายๆแพลงค์ตอนเข้ามาในเรื่องเป็นระยะๆ

1.3 SAME OLD SONG (1997, A+) มีการแทรกฉากของตัวอะไรบางอย่างคล้ายๆแมงกะพรุนเข้ามาในเรื่องเป็นระยะๆ

1.4 JE T’AIME, JE T’AIME (1968) เป็นหนังไซไฟเกี่ยวกับผู้ชายที่เดินทางข้ามเวลาไปสัมผัสกับช่วงเวลาต่างๆในอดีตของตัวเอง

1.5 NOT ON THE LIPS (2003, A+) ถ้าจำไม่ผิด ตัวละคร GEORGES (PIERRE ARDITI) ในหนังเรื่องนี้คิดว่าความสัมพันธ์รักเป็นสิ่งที่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์อะไรบางอย่างเหมือนกับหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์
http://images.amazon.com/images/P/B0007IO6GO.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

NOT ON THE LIPS ดูไม่ค่อยพิสดารเหมือนหนังยุคแรกๆของ ALAIN RESNAIS แต่คิดไปคิดมาแล้ว ก็รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มีบางจุดที่คล้ายหนังเรื่องอื่นๆของ ALAIN RESNAIS เหมือนกัน เพราะหนังของ RESNAIS มักพูดถึงตัวละครที่พบว่า “ปัจจุบัน” ของตัวเอง กำลังถูกคุกคามจากอะไรบางอย่างจาก “อดีต” แต่ต่างกันตรงที่หนังเก่าๆของ ALAIN RESNAIS ตัวละครมักได้รับความทุกข์ทรมานจาก “ความทรงจำ” ที่มีต่ออดีต แต่ใน NOT ON THE LIPS นั้น ตัวละคร GILBERTE VALANDRAY (SABINE AZEMA) ถูกคุกคามจากคนรักเก่า (LAMBERT WILSON) ที่สามารถจะเปิดเผยอดีตที่เธอต้องการจะปิดบังเอาไว้

หนังของ ALAIN RESNAIS ที่มีตัวละครที่ถูกคุกคามหรือได้รับความทรมานจาก “อดีต” รวมถึง

A. MELO (1986, A)
B.MURIEL OR THE TIME OF RETURN (1963, A+)
C.LAST YEAR AT MARIENBAD (1961, A+)
D.HIROSHIMA MON AMOUR (1959, A+)


2.WOMEN IN THE MIRROR (2002, YOSHISHIGE YOSHIDA, A+)

หลังจากเพื่อนดิฉันดูหนังเรื่องนี้แล้ว เขาก็บอกว่าหนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึงหนังอีกหลายๆเรื่องเหมือนกัน ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคนที่หายไปและคนที่กลับคืนมา ซึ่งอาจจะ “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” คนๆเดียวกับที่หายไป

หนังในกลุ่มนี้ก็มีเช่นเรื่อง

2.1 THE LONG ABSENCE (1961, HENRI COLPI, A+)
สร้างจากบทประพันธ์ของ MARGUERITE DURAS อ่านข้อมูลเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ได้ในหนังสือ “บุ๊คไวรัส 1”
http://www.imdb.com/title/tt0054426/

2.2 BIRTH (2004, JONATHAN GLAZER, A+)

2.3 P.S. (2004, DYLAN KIDD, A)

2.4 THE RETURN OF MARTIN GUERRE (1982, DANIEL VIGNE, B+)

2.5 SOMMERSBY (1993, JON AMIEL, B/B-)

2.6 COMEDY OF INNOCENCE (2000, RAOUL RUIZ)

2.7 OLIVIER OLIVIER (1991, AGNIESZKA HOLLAND)
http://www.imdb.com/title/tt0102583/
http://images.amazon.com/images/P/6303023045.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริง เกี่ยวกับโอลิวิเยร์ เด็กชายวัย 9 ขวบในชนบทที่อยู่ดีๆก็หายสาบสูญไป ถึงแม้ว่าตำรวจ (JEAN-FRANCOIS STEVENIN) จะพยายามสืบสวนเป็นอย่างดีก็ตาม และการหายสาบสูญของเขาก็ทำให้ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวทวีความตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆจนถึงจุดแตกหัก โดยคนในครอบครัวนี้รวมถึงผู้เป็นพ่อ (FRANCOIS CLUZET) ที่ตัดสินใจไปแอฟริกา, ภรรยา (BRIGITTE ROUAN) กับลูกสาวชื่อนาดีน (MARINA GOLOVINE)

อย่างไรก็ดี 6 ปีต่อมา โอลิวิเยร์ (GREGOIRE COLIN) ก็กลับมาอย่างพลิกความคาดหมาย แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเขาใช่โอลิวิเยร์ตัวจริงหรือเปล่า และการกลับมาของเขาจะยิ่งสร้างความร้าวฉานให้ครอบครัวนี้มากขึ้นหรือเปล่า

นักวิจารณ์ใน TIME OUT บอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นทั้งหนังเมโลดราม่าและหนังลึกลับ และเป็นหนังที่ชำแหละความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวอย่างทารุณพอๆกับหนังของ INGMAR BERGMAN


3..HIS BROTHER (2003, PATRICE CHEREAU, A+)

คิดไปคิดมาแล้ว ก็รู้สึกว่ามีหนังเกี่ยวกับผู้ป่วยใกล้ตายเรื่องอื่นๆที่ตัวเองชอบมากเหมือนกัน ซึ่งรวมถึงเรื่อง MY LIFE WITHOUT ME (2003, ISABEL COIXET, A+)


4.SEDUCTION: THE CRUEL WOMAN (1985, ELFI MIKESCH + MONIKA TREUT, A+) หนังเลสเบียน

หนังเรื่องนี้เป็นหนังเฮี้ยนๆจากเยอรมนีที่ดูแล้วนึกถึง DORIAN GRAY IN THE MIRROR OF THE YELLOW PRESS (ULRIKE OTTINGER, A+) เพราะว่า

4.1 หนังมีตัวละครที่หลุดโลกมาก

4.2 หนังมีตัวละครเจ้าแม่ที่สง่ามาก

4.3 พฤติกรรมทางเพศของตัวละครในหนังไม่ปกติธรรมดา

4.4 หนังทั้งสองเรื่องนี้ถ่ายภาพสวยมากๆ

4.5 หนังทั้งสองเรื่องนี้มี “สไตล์” ที่โฉบเฉี่ยวมาก ทั้งในด้านการออกแบบฉากและเครื่องแต่งกาย

หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องแรกๆของ MONIKA TREUT พอดูจบแล้วก็รู้สึกว่า MONIKA TREUT มีพัฒนาการด้านการกำกับหนังที่น่าสนใจดี เพราะหนังเรื่องนี้ เป็นหนังที่แทบไม่มีเนื้อเรื่องหรือเนื้อหาสาระอะไร มีแต่ “สไตล์” ที่เปรี้ยวมากๆ ส่วนหนังเรื่อง MY FATHER IS COMING (1991, A-) ของเธอเริ่มมีเนื้อเรื่องและเนื้อหาสาระมากขึ้น และหนังเรื่อง TIGERWOMEN GROW WINGS (2005, B+) ของเธอ ซึ่งเป็นหนังสารคดีเกี่ยวกับชีวิตผู้หญิงไต้หวัน ก็อาจจะถือเป็นหนังที่มีเนื้อหาสาระมากที่สุดในบรรดาหนัง 3 เรื่องของเธอที่ดิฉันได้ดู อย่างไรก็ดี ในขณะที่หนังของเธอมีเนื้อหาสาระมากขึ้นเรื่อยๆ และมีการ “ปรุงแต่งด้านภาพ” ลดลงเรื่อยๆ ดิฉันกลับชอบหนังของเธอน้อยลงเรื่อยๆ บางที MONIKA TREUT อาจพัฒนาตัวเองไปในแนวทางที่ถูกต้องแล้ว แต่ดิฉันกลับเป็นฝ่ายที่ชอบ STYLE มากกว่า SUBSTANCE ในหนังของเธอ

SEDUCTION: THE CRUEL WOMAN มีฉากฮาๆวิปริตวิตถารหลายฉาก อย่างเช่นฉากของผู้ชายที่มีความพึงพอใจ (ทางเพศ) ในการได้ขัดห้องน้ำ

ชอบฉากเปิดของหนังเรื่องนี้มาก ซึ่งเป็นฉากที่ผู้หญิงคนหนึ่งยืนโพสท่าร้องเพลงด้วยอารมณ์ประหลาดๆท่ามกลางฉากหลังที่ประหลาดๆ และชอบตอนจบของหนังเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน เพราะตอนแรกกลัวว่าหนังเรื่องนี้จะให้คติสอนใจว่า “การมีพฤติกรรมทางเพศแบบวิปริตวิตถารเป็นสิ่งไม่ดี คุณควรจะกลับตัวกลับใจซะ” แต่ปรากฏว่าตอนจบของหนังเรื่องนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่หวาดกลัวเลย (ก็นี่มันหนังเยอรมันนี่นา) โฮะๆๆๆๆๆ


5.A BOY’S SUMMER IN 1945 (2002, KAZUO KUROKI, A+)

อ่านบทสัมภาษณ์ KAZUO KUROKI ได้ที่
http://www.city.yamagata.yamagata.jp/yidff/docbox/18/box18-1-2-e.html

รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่พบว่า KAZUO KUROKI คือคนกำกับภาพยนตร์เรื่อง TOMORROW (1988, B) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตคนธรรมดาในญี่ปุ่นในช่วง 24 ชั่วโมงก่อนระเบิดปรมาณูจะถล่มลงมาที่เมืองนางาซากิ รู้สึกว่า KUROKI (ซึ่งเกิดปี 1930) อาจจะผูกพันกับสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ขณะที่ดูเรื่อง TOMORROW รู้สึกไม่แน่ใจเล็กน้อยว่าหนังเรื่องนี้ต้องการนำเสนอชีวิตคนธรรมดาในญี่ปุ่นราวกับว่าพวกเขาเป็นเพียงเหยื่อผู้บริสุทธิ์ในสงครามหรือไม่ หนังเรื่อง TOMORROW ดูเหมือนไม่ได้แสดงจุดยืนแน่ชัดในเรื่องนี้
http://www.legacy-project.org/film/display.html?ID=407
http://www.imdb.com/title/tt0094682/

แต่ขณะที่ดู A BOY’S SUMMER IN 1945 ก็รู้สึกดีใจที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้นำเสนอตัวละครญี่ปุ่นในฐานะผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นเหยื่อของสงครามไปเสียทั้งหมด เพราะหนังเรื่องนี้มีตัวละครทหารที่ไม่ดี และที่สำคัญก็คือมีการนำเสนอเรื่องราวของทหารญี่ปุ่นที่จับชาวนาชาวจีนมาฆ่าตายมากมายหลายคน โดยจับชาวนาเป็นๆเหล่านั้นมามัดกับเสาและใช้เป็นเป้าในการฝึกซ้อมอาวุธ

A BOY’S SUMMER IN 1945 มีจุดที่ชอบมากๆอีกหลายจุด ซึ่งรวมถึง

5.1 การเฉลี่ยบทให้ตัวละครมากมายหลายตัว และแต่ละตัวก็ได้รับความเจ็บช้ำจากสงครามในแบบที่แตกต่างกัน

5.2 ฉากความฝันของพระเอก

5.3 ตัวละครที่แสดงโดย RIHO MAKISE เธอเป็นสาวเปรี้ยวที่ดูเหมือนมีหัวจิตหัวใจ ความคิดความอ่าน ไม่ได้เปรี้ยวแบบไร้สติ

5.4 การที่หนังดูเหมือนจะรักษาระยะห่างทางอารมณ์และระยะห่างด้านภาพจากตัวละครมากพอสมควร การรักษาระยะห่างเช่นนี้ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง SPRING IN MY HOMETOWN (1998, LEE KWANGMO, A) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กในชนบทในช่วงสงครามเกาหลี
http://www.imdb.com/title/tt0156386/

5.5 หนังเริ่มเรื่องด้วยชีวิตที่ดูเหมือนสงบเป็นสุขในชนบท ก่อนที่ตัวละครจะเครียดและเลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ การทวีคูณของความเครียดแบบนี้ทำให้นึกถึงหนังโมร็อกโกเรื่อง A THOUSAND MONTHS (2003, FAOUZI BENSAIDI, A+++++) ซึ่งตอนเริ่มเรื่อง ดิฉันนึกว่าตัวเองกำลังดูหนังเด็กใสๆแบบ CHILDREN OF HEAVEN (1997, MAJID MAJIDI, A) แต่พอตอนปลายเรื่อง ดิฉันกลับนึกว่าตัวเองกำลังดูหนัง FEEL BAD ของยุโรปอยู่

5.6 มีกองทหารมาตั้งอยู่ใกล้บ้านพระเอก และทหารก็มามีเซ็กส์กับหญิงชาวบ้าน จุดนี้ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง THE FORSAKEN LAND (A+) แต่ต่างกันตรงที่ใน THE FORSAKEN LAND ดิฉันรู้สึกในทางลบเล็กน้อยกับพฤติกรรมของทหารคนนั้น แต่ใน A BOY’S SUMMER IN 1945 ดิฉันกลับรู้สึกเห็นใจทหารคนนั้น

5.7 พระเอกในหนังเรื่องนี้สูญเสียเพื่อนๆไปหลายคนและได้รับความลำบากอย่างมากจากการทิ้งระเบิดของทหารอเมริกัน แต่ดูเหมือนเขาไม่ได้คิดโกรธแค้นทหารอเมริกันแต่อย่างใด จนกระทั่งเขาได้รับการยุแยงจากเด็กหญิงตัวเล็กๆคนนึงซึ่งดูภายนอกแล้วเหมือนเป็น “ผู้บริสุทธิ์” หรือเหมือนเป็น “เหยื่อที่น่าสงสาร” อย่างมากๆ แต่ไปๆมาๆแล้ว เด็กหญิง “ผู้บริสุทธิ์” คนนี้นี่แหละที่สามารถปลูกฝังความเกลียดชังเข้าไปในหัวจิตหัวใจ, ร่างกาย และหัวสมองของพระเอกได้อย่างเหลือเชื่อ หนังเรื่องนี้จบลงด้วยการที่พระเอกแสดงความเกลียดชังทหารอเมริกันอย่างรุนแรง แต่ดิฉันก็ไม่แน่ใจว่าผู้กำกับต้องการจะสื่ออะไรตรงจุดนี้ รู้แต่ว่าพฤติกรรมแห่งความเกลียดชังในตอนจบ ดูเหมือนจะไม่ได้มาจากสิ่งที่มีเหตุผลสมควร แต่กลับมาจากความหลงผิดหรืออะไรบางอย่างที่ยากจะอธิบายได้

หนังที่เกี่ยวพันกับการทิ้งระเบิดปรมาณูอีกเรื่องนึงที่ดูแล้วชอบมากคือหนังเชคเรื่อง BUTTONERS (1997, PETR ZELENKA)
http://www.bfi.org.uk/sightandsound/review/47


FAVORITE SUPPORTING ACTRESS
ปิยะมาศ โมนยะกุล—ชุมแพ

FAVORITE SONG
TU ME DELIRIO—ETIENNE DAHO—ในหนังเรื่อง NEAREST TO HEAVEN

ปกอัลบัมชุด EDEN (1996) ของ ETIENNE DAHO
http://images.amazon.com/images/P/B000006XZ1.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

ปกอัลบัมชุด LA NOTTE, LA NOTTE (1995)
http://blogsimages.skynet.be/images/000/243/328_daho.jpg

ปกอัลบัมชุด PARIS AILLEURS (1991)
http://images.amazon.com/images/P/B000005N01.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

1 comment:

Anonymous said...

We found Nice and clear knowledge from your KHAVN DE LA CRUZ'S FILMS ARE COMING. Though we were looking for payday loans but we found your blog. But its worth reading on your blog and i have left a piece of note on it about my No Fax Payday Loans & Loans site . Please share your thoughts on our blogs as your visit is valuable for us and we would welcome your visit to us