Monday, January 23, 2006

CLAUDE GORETTA

--จริงๆแล้วรู้สึกว่าเรื่องสั้นประกอบภาพ “ฉันคือ อายูมิ ฮามาซากิ” ให้ความรู้สึกที่เศร้ามาก แต่ความรู้สึกฮาเกิดขึ้นเมื่อพยายามจินตนาการภาพของน้อง merveillesxx เข้าไปแทนที่ภาพของอายูมิ ฮามาซากิ ลองจินตนาการภาพน้อง merveillesxx ยืนเท้าสะเอว แล้วเชิดหน้า, จินตนาการภาพน้อง merveillesxx ยืนแอ่นหน้าแอ่นหลังบนเวที, ภาพน้องนอนไถลร่วงตกลงมาจากเตียง พอจินตนาการภาพแบบนี้เข้ามาในหัวแล้วก็อดรู้สึกขำขึ้นมาไม่ได้

--ตอนนี้พอเห็นภาพปก NEVER EVER ทีไร ก็จะนึกถึงคำว่า “เล็บฉีกหลังจากคุ้ยถังขยะ” ขึ้นมาทันที

--ภาพปก NEVER EVER ดูเหมือนไม่ใช่ภาพของ “การโพสท์ท่าสวยๆ” เหมือนอย่างภาพนักร้องทั่วไป แต่เป็นภาพที่เหมือนเป็นส่วนประกอบของ “เรื่องราว” อะไรสักอย่าง ภาพๆนี้เป็นภาพที่เอื้อต่อการแต่งเรื่องแต่งราวประกอบภาพเป็นอย่างมาก ในขณะที่ภาพอื่นๆอาจจะดูสมบูรณ์ในตัวมันเองโดยไม่ต้องมี story ประกอบ แต่ภาพ NEVER EVER นี่มันดูเรียกร้องให้มีการใส่คำบรรยายประกอบภาพหรือแต่งเสริมเติมเรื่องราวเข้าไปเป็นอย่างมาก

--เวลาเห็นคนบ้าบางคนต้องระวังให้ดี เพราะอาจจะเป็นมิจฉาชีพแกล้งปลอมตัวเป็นคนบ้า เพื่อนดิฉันเดินไปตามถนน อยู่ดีๆเจอผู้หญิงบ้าเดินมากอดพักนึงแล้วก็เดินจากไป พอรู้ตัวอีกทีปรากฏว่าผู้หญิงบ้าคนนั้นได้ล้วงกระเป๋าเพื่อนดิฉันไปแล้วเรียบร้อย

--รถเมล์สาย 53 เป็นสายที่นั่งประจำตอนมาเรียนมัธยมและมหาลัย โดยนั่งจากแถวคุรุสภา แล้วมาลงตรงแถววงเวียน 22 กรกฏา เพื่อนั่งรถสาย 25 หรื อ40 ต่อมาที่โรงเรียนมัธยมและมหาลัย เป็นรถสายที่ชอบมากๆในตอนนั้น (นั่งบ่อยๆประมาณปลายทศวรรษ 1980 ถึงช่วงต้นทศวรรษ 1990) เพราะว่ามันมาถี่มาก และคนไม่เคยแน่น รถเมล์สายนี้ไม่เคยใช้เวลายืนรอนาน ยืนรอแค่ 3-5 นาทีต้องมีแล่นมาแล้วหนึ่งคัน และไม่เคยแน่น เพราะคนที่ขึ้นรถสายนี้ส่วนใหญ่จะขึ้นแค่ระยะทางสั้นๆ คนจะขึ้นลงกันตลอดเวลา ไม่เหมือนรถเมล์สายอื่นๆที่จะมีคนนั่งติดต่อกันเป็นระยะทางยาวๆ แต่หลังจากจบมหาลัยก็แทบไม่มีโอกาสได้นั่งรถเมล์สายนี้อีกเลย เห็นรถเมล์สายนี้ทีไรก็จะนึกถึงความทรงจำเก่าๆในอดีตที่เต็มไปด้วยความสุข

--ในขณะที่รถเมล์สาย 53 ติดอันดับรถเมล์ที่มาบ่อยที่สุดในชีวิตของดิฉัน รถเมล์อีกสายหนึ่งที่เห็นแล่นมาถี่มากๆก็คือสาย “1” ที่แล่นผ่านแถวท่าช้าง เพื่อนดิฉันเคยบอกว่า รถเมล์สาย “1” จะมาทุกๆ “1 นาที” (แต่ส่วนใหญ่จะมาในสภาพของมินิบัส) ซึ่งดิฉันก็เห็นด้วย แต่ช่วง 5-6 ปีหลังมานี้ก็ไม่ได้สังเกตเหมือนกันว่ารถเมล์สาย 1 ยังคงมาถี่เหมือนเมื่อในอดีตหรือเปล่า

--เรื่อง XEROX เลคเชอร์นี่ ดิฉันก็เป็นทั้งฝ่ายให้คนอื่นๆ XEROX และฝ่าย XEROX คนอื่นๆเหมือนกันค่ะ เพราะสมัยอยู่มหาลัยก็โดดเรียนบ่อยเหมือนกัน เพราะดิฉันเรียนจุฬา แต่เพื่อนสนิทเรียนอยู่เกษตรกับประสานมิตร เพราะฉะนั้นดิฉันก็เลยมักจะโดดเรียนและไปสิงสถิตย์อยู่ที่ม.เกษตรกับม.ประสานมิตรแทน เวลาไปอยู่สองมหาลัยนี้จะมีความสุขมาก เพราะนอกจากจะได้อยู่กับเพื่อนสนิทแล้ว ยังรู้สึกว่า “ไม่มีใครรู้จักเรา” อีกด้วย และพอไม่มีใครรู้จักเรา เราก็สามารถทำตัวตามสบายได้เต็มที่ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีสายตาของเพื่อนๆในมหาลัยคอยจับตาพร้อมกับนินทาด่าทอเราลับหลัง การได้อยู่ในสถานที่ที่ “ไม่มีคนรู้จักเรา นอกจากเพื่อนสนิทของเรา” ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นอิสระและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

จำได้ว่ามีบางเทอม ตัวเองจะโดดเรียนวันศุกร์ทั้งวันเลย เพื่อไปอยู่ที่ประสานมิตรทั้งวัน ส่วนใหญ่จะไปนั่งอยู่ในห้องสมุดประสานมิตร ส่วนที่ม.เกษตร ดิฉันมักจะสิงสถิตย์อยู่ตามโรงอาหารต่างๆ

ยุคนั้นยังไม่มีรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดิน มีบางครั้งพอทุกคนมารวมตัวกันที่ประสานมิตร และเพื่อนดิฉันเรียนเสร็จแล้ว ทุกคนก็จะยกขบวนมาสิงสถิตย์ที่มาบุญครองต่อ แต่รถในถนนเพชรบุรีตัดใหม่ติดอย่างวินาศสันตะโรมากๆในตอนเย็น เพราะฉะนั้นทุกคนก็เลยใช้วิธี “เดิน” เดินจากประสานมิตรมามาบุญครองกัน (ไม่กล้าขึ้นเรือค่ะ) ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลพอสมควร แต่เนื่องจากเป็นการเดินคุยกับเพื่อนไปเรื่อยๆ จึงไม่มีความรู้สึกว่าไกลเลยแม้แต่นิดเดียว กิจกรรมการเดินจากประสานมิตรมามาบุญครองเป็นกิจกรรมที่ทำให้มีความสุขมากในอดีต แต่ในปัจจุบันนี้คงทำไม่ได้แล้ว เพราะสังขารไม่เอื้ออำนวย อาจจะถึงขั้นรากเลือดได้ถ้าหากทำในปัจจุบัน

แต่ในบางวิชาที่ดิฉันเข้าเรียนเป็นประจำนั้น เพื่อนดิฉันบางคนก็เคยมาขอยืมเลคเชอร์ไป XEROX เหมือนกัน เพราะดิฉันทำคะแนนได้ดีในบางวิชา แต่ดิฉันก็ต้องเตือนทุกคนที่มายืมเลคเชอร์ไป XEROX ว่าให้ระวังให้ดี เพราะดิฉันมีการ “แต่งเรื่อง” เสริมเข้าไปในเลคเชอร์ด้วย

สมุดเลคเชอร์ของดิฉันจะแตกต่างจากคนอื่นๆ เพราะจะมีทั้ง “เรื่องจริง” และ “เรื่องแต่ง” ผสมผสานกัน สาเหตุเป็นเพราะว่าดิฉันเป็นโรค “ง่วงนอนอย่างรุนแรงตลอดเวลา” ขณะอยู่ในห้องเรียน ก็เลยแก้ง่วงด้วยการ “แต่งเรื่อง” ไปเรื่อยๆขณะที่จดเลคเชอร์ ดิฉันจะจดในสิ่งที่อาจารย์พูด และก็จะแต่งเรื่องชิบหายๆประกอบไปด้วยเพื่อความสนุกสนานและไม่ให้ตัวเองง่วงนอน อย่างเช่น เวลาเรียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ประเทศบางประเทศ และอาจารย์บรรยายว่าประเทศนั้นเคยมีปัญหาระหว่างชนเชื้อสาย A กับชนเชื้อสายจีน ดิฉันจะจดลงไปในสมุดเลคเชอร์ว่า “ในปี ค.ศ. 1961 เคยเกิดปัญหาปะทะกันทางเชื้อชาติอย่างรุนแรง เมื่อกลุ่มหญิงสาวชาว A บุกเข้าไปในหอพักของนักศึกษาหนุ่มๆเชื้อสายจีน” การแต่งเรื่องอย่างนี้ไม่ทำให้ดิฉันสับสนแต่อย่างใดขณะท่องหนังสือสอบ เพราะดิฉันจำได้ดีว่าอันไหนเป็นเรื่องจริง และอันไหนดิฉันแต่งขึ้นมาเองสดๆขณะจดเลคเชอร์ แต่เพื่อนๆดิฉันที่ยืมสมุดไป XEROX อาจจะแยกแยะไม่ถูก และอาจจะเผลอเอาเรื่องแต่งชิบหายๆของดิฉันเขียนตอบไปในกระดาษคำตอบส่งอาจารย์ได้

--พูดถึงเรื่องโทรศัพท์ ก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีผู้หญิงบางคนชอบคุยกับชายหนุ่มที่ไม่รู้จักทางโทรศัพท์ด้วยเหมือนกัน เรื่องเกิดขึ้นเพราะว่าดิฉันอยู่อพาร์ทเมนท์ แล้วเพื่อนผู้ชายคนนึงจะโทรมาหาดิฉัน แต่กดเบอร์ห้องดิฉันผิด ไปติดเบอร์ห้องอีกห้องนึงที่มีตัวเลขคล้ายๆกัน ปรากฏว่าเป็นผู้หญิงรับ สิ่งที่ประหลาดก็คือว่าแทนที่ผู้หญิงคนนั้นจะบอกแค่ว่า “คุณกดผิดค่ะ” แล้วก็วางหูโทรศัพท์ไป เธอกลับชวนเพื่อนผู้ชายของดิฉันคุยต่อเป็นคุ้งเป็นแควเลยทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันหรือไม่เคยเห็นหน้าค่าตาชื่อเสียงเรียงนามกันมาก่อน (แต่ถ้าหากเธอรู้จัก เธออาจจะไม่ชวนคุยต่อก็ได้ เพราะเพื่อนผู้ชายคนนั้นเป็นเกย์ โฮะๆๆๆๆ)

--IN HER SHOES จัดเป็นหนังที่ชอบมากผิดคาดเรื่องนึง พอๆกับ THE FAMILY STONE เพราะตอนดูหนังตัวอย่าง รู้สึกว่าหนังสองเรื่องนี้มันน่าจะเป็นหนังสูตรสำเร็จแบบที่ดิฉันไม่ชอบ แต่พอได้ดูเข้าจริงๆ ก็รู้สึกว่าถึงมันจะยังคงมีความเป็นฮอลลีวู้ดสูง และพล็อตเรื่องดูเน่าๆยังไงพิกล แต่ก็รู้สึกเพลิดเพลินกับมันมากกว่าที่คาด

ปกติรู้สึกเฉยๆกับ SARAH JESSICA PARKER และ CAMERON DIAZ แต่หนังสองเรื่องนี้ทำให้ชอบดาราหญิงสองคนนี้เพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก การแสดงของ SARAH JESSICA PARKER ใน THE FAMILY STONE เต็มไปด้วยอากัปกิริยาเล็กๆน้อยๆที่น่าสนใจมาก ส่วน CAMERON DIAZ ก็ทำให้ตัวละครที่ดูสูตรสำเร็จมากๆ (สาวสำส่อนสมองกลวง) ดูเป็นคนที่มีชีวิตจริงๆขึ้นมาได้

--นอกจาก 3-IRON จะติดอันดับ TOP TEN ประจำปี 2005 ของน้อง merveillesxx แล้ว หนังเรื่องนี้ยังติดอันดับ TOP TEN ประจำปีของ JOUMANE CHAHINE นักวิจารณ์ภาพยนตร์จากกรุงเบรุต ประเทศเลบานอนด้วยเช่นกัน

อันดับ TOP TEN หนังโปรดในปี 2005 ของ JOUMANE CHAHINE มีดังต่อไปนี้ (จากนิตยสาร FILM COMMENT)

1.KINGS AND QUEEN (ARNAUD DESPLECHIN)

2.HIDDEN

3.MATCH POINT

4.JARHEAD

5.BROKEBACK MOUNTAIN

6.THE DEATH OF MR. LAZARESCU

7.3-IRON

8.CAPOTE

9.THE SQUID AND THE WHALE

10.BATMAN BEGINS

11.MASSKAER (MONIKA BORGMANN+LOKMAN SLIM +HERMANN THEISSEN)

และ WALLACE & GROMIT: THE CURSE OF THE WERE-RABBIT


--วันนี้ได้ดูหนัง 3 เรื่อง ซึ่งก็คือ

1.AMATEUR (1994, HAL HARTLEY, A+)

2.THE LACEMAKER (1977, CLAUDE GORETTA, A+)

3.JUST LIKE HEAVEN (2000, MARK WATERS, A)

No comments: