Sunday, July 30, 2006

the champions (christoph hubner, A+)

ตอบน้อง merveillesxx

ถ้าจำไม่ผิด ในละครเรื่อง SLOW DANCE เมื่อคืนนี้ มีการใช้เพลง CRAZY LOVE ของ VAN MORRISON มาประกอบด้วย โดยก่อนหน้านี้เพลงนี้เคยถูกใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง “ไฟฝันควันรัก” หรือ ALWAYS (1989, STEVEN SPIELBERG, A+) มาแล้ว


ตอบน้องสะใภ้ PETER SARSGAARD

เห็นคุณ OLIVER อยากรู้ว่า DELIVERY SEXY LOVE เป็นยังไง แต่ไม่มีใครยอมเสี่ยงตายเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ ก็เลยขอแนะนำให้เข้าไปอ่านความเห็นของคุณ “ตี๋หล่อมีเสน่ห์” ใน BLOG ของเขาค่ะ เขาให้คะแนนหนังเรื่องนี้ 2.5/10
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=storyinthepast&group=24&month=07-2006&date=26&blog=1


ตอบคุณ TARENCE

ไม่รู้ว่าคุณ TARENCE ชอบ LISA FISCHER หรือเปล่า ดิฉันชอบเสียงร้องของเธอมากเลยค่ะ

ดูมิวสิควิดีโอ HOW CAN I EASE THE PAIN ของ LISA FISCHER ได้ที่
http://www.youtube.com/watch?v=gyypMwjwVwY&search=lisa%20fischer

ส่วนเพลงนี้คุณ TARENCE คงฟังจนเบื่อแล้ว นั่นก็คือเพลง COME IN OUT OF THE RAIN ของ WENDY MOTEN
http://youtube.com/watch?v=hd0cpPAukPY

นักร้องคนโปรดอีกคนของดิฉันคือ LINDA EDER เชิญฟังเพลง IF I HAD MY WAY ของเธอได้ที่นี่ค่ะ
http://youtube.com/watch?v=DFdAW_IEYGA&search=linda%20eder


ตอบคุณแฟรงเกนสไตน์

เห็นคุณแฟรงเกนสไตน์บอกว่าอยากให้มีการดัดแปลง SOPHIE SCHOLL – THE FINAL DAYS มาเป็นละครเวที ก็เลยนึกได้ว่าถ้าหากเป็นหนังไทย หนังเรื่อง “อำแดงเหมือนกับนายริด” (A) ก็อาจจะดัดแปลงมาเป็นละครเวทีที่ทรงพลังได้เช่นกัน


ตอบคุณเทวดาตกสวรรค์

ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บบอร์ดนี้ค่ะ ดีใจมากเลยที่มีคนใหม่ๆเข้ามาเรื่อยๆ

ยังไม่ได้ดู THE SQUID AND THE WHALE เลยค่ะ แต่รู้สึกประทับใจกับหนังอินดี้อเมริกันในช่วง 2-3 ปีหลังมากๆ ซึ่งรวมถึงหนังเรื่อง

1.CAPOTE (2005, BENNETT MILLER, A+)

2.THE ASSASSINATION OF RICHARD NIXON (2004, NIELS MUELLER, A+)

3.TARNATION (2003, JONATHAN CAOUETTE, A+)

4.I AM A SEX ADDICT (2005, CAVEH ZAHEDI, A+)

5.OFF THE MAP (2003, CAMPBELL SCOTT, A+)

6.TRANSAMERICA (2005, DUNCAN TUCKER, A+)

7.A HOME AT THE END OF THE WORLD (2004, MICHAEL MAYER, A+)

8.KINSEY (2004, BILL CONDON, A+)

9.SAVING FACE (2004, ALICE WU, A+)

10.PRETTY PERSUASION (2005, MARCOS SIEGA, A+/A)

11.DOWN IN THE VALLEY (2005, DAVID JACOBSON, A)

12.UNDERTOW (2004, DAVID GORDON GREEN, A)
http://images.amazon.com/images/P/B0007R4T3K.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1110315658_.jpg

13.THE WOODSMAN (2004, NICOLE CASSELL, A)

รู้สึกว่าหนังอินดี้อเมริกันที่ได้ดูในช่วง 2-3 ปีมานี้ ถ่ายทอดความเป็นมนุษย์ของตัวละครออกมาได้ดีมากๆเลยค่ะ

ส่วนหนังอินดี้อเมริกันที่อยากดูที่สุดในตอนนี้คือเรื่อง OLD JOY (2006, KELLY REICHARDT) ที่ได้รับรางวัลไทเกอร์ อวอร์ดจากเทศกาลภาพยนตร์รอตเตอร์ดัมปีนี้ค่ะ โดยได้รับรางวัลไทเกอร์ร่วมกับ WALKING ON THE WILD SIDE (HAN JIE) และ THE DOG POUND (MANUEL NIETO ZAS)
http://www.spiritualityandpractice.com/films/films.php?id=15359

OLD JOY มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายหนุ่มสองคนที่เคยเป็นเพื่อนเก่ากัน ทั้งสองกลับมาเจอกันอีกครั้ง ไปเที่ยวป่าด้วยกัน พูดคุยกัน และพบว่ามิตรภาพระหว่างทั้งสองได้สิ้นสุดลงแล้ว จุดเด่นของหนังเรื่องนี้คือการที่หนังแทบไม่มีพล็อตเรื่องและแทบไม่มีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้นในเรื่อง

มาร์ค (แดเนียล ลอนดอน) ได้รับโทรศัพท์จากเคิร์ท (วิล โอลด์แฮม) อย่างไม่คาดฝัน โดยเคิร์ทชวนมาร์คไปตั้งแคมป์ด้วยกันนอกเมืองพอร์ทแลนด์ รัฐโอเรกอน โดยไปตั้งแคมป์กันตรงจุดที่สวยงามที่ตั้งอยู่ใกล้น้ำพุร้อน ทางด้านภรรยาผู้ตั้งครรภ์ของมาร์ค (ทันย่า สมิธ) ไม่ต้องการให้สามีไปตั้งแคมป์ แต่เธอก็รู้ว่าเธอไม่มีทางห้ามเขาได้ ทั้งมาร์คและเคิร์ทไม่ได้เจอกันมานานแล้ว และตอนนี้เคิร์ทก็ตกงานและกำลังจะถูกไล่ออกจากบ้านเช่า และทางเดียวที่จะทำให้เคิร์ทรู้สึกดีขึ้นได้ก็คือการได้พบกับมาร์คอีกครั้ง

ทั้งสองพูดคุยกันถึงเรื่องต่างๆหลายเรื่อง มาร์คคุยเรื่องพ่อแม่ของเขา ส่วนเคิร์ทคุยเรื่องช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงตัวเขาในเมืองแอชแลนด์ ทั้งสองรู้สึกเสียใจที่ร้านขายแผ่นเสียงอินดี้ที่ทั้งสองเคยชื่นชอบได้กลายไปเป็นบาร์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีชื่อว่า REJUICENATION เสียแล้ว ไม่มีสิ่งใดเหมือนเดิมอีกต่อไป

เคิร์ทกับมาร์คนั่งข้างกองไฟด้วยกัน เคิร์ทเล่าว่าเขากำลังเข้าชั้นเรียนตอนกลางคืนซึ่งสอนฟิสิกส์ และเขามีทฤษฎีว่าจักรวาลมีรูปร่างเหมือนหยดน้ำตาที่กำลังจะร่วงลง ส่วนมาร์คนั้นฟังอยู่เฉยๆและแทบไม่ตอบอะไร มาร์คกล่าวว่าเขากำลังตั้งตารอที่จะได้เป็นพ่อคน ส่วนเคิร์ทบอกมาร์คว่ามีอะไรบางอย่างมาขวางกั้นความสัมพันธ์ของคนทั้งสองแล้ว มาร์คปฏิเสธว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป

หนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่ามาร์คและเคิร์ทเคยเป็นคนที่อยู่ในโลกเดียวกัน แต่ตอนนี้ทั้งสองอยู่กันคนละโลกแล้ว ทั้งสองไม่มีอะไรเหมือนกันอีกต่อไปแล้ว นอกจากความทรงจำที่มีต่ออดีตเท่านั้น

เว็บไซท์ SPIRITUALITY AND HEALTH ให้ความเห็นว่า OLD JOY แสดงให้เห็นว่า มิตรภาพเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืนถาวร และถึงแม้การสูญเสียมิตรภาพไปจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้า แต่การยึดติดกับมันก็เป็นการปฏิเสธความเป็นจริงที่ว่าใดๆในโลกล้วนอนิจจัง มาร์คได้สละทิ้งมิตรภาพนี้ไปและก้าวเข้าสู่ชีวิตใหม่แล้ว ส่วนเคิร์ทนั้นต้องการจะเหนี่ยวรั้งมิตรภาพที่เขาเก็บถนอมไว้ในใจมานานหลายปีไว้ต่อไป แต่ในที่สุดแล้ว ก็เหลือเพียงเขาเท่านั้นที่ต้องเดินเตร็ดเตร่อยู่ตามลำพังในเมือง และไม่มีใครหรือสถานที่ใดที่สามารถให้ความอบอุ่นแก่หัวใจเขาได้อีกต่อไป

เว็บไซท์ของ OLD JOY
http://www.oldjoymovie.com/
http://64.33.65.238/films/old_joy.jpg

Old Joy is a film about absences and silences, lacks and wants; abandoned things lost things, missing things.

อย่าจำหนังเรื่องนี้สลับกับหนังโปแลนด์เรื่อง ODE TO JOY (2005, ANNA KAZEJAK-DAWID + JAN KOMASA + MACIEJ MIGAS)



ตอบคุณ pink 0700

ความแก่ไม่เคยปราณีใครจริงๆๆ แต่หยวนๆๆน่า ดูอย่างดาราเด็กที่เล่นเรื่อง 400 blows เทียบกับตอนที่ได้ดู pornographer นี่แบบว่าหมดอารมณ์จริงๆๆครับ

ดาราเด็กคนนั้นชื่อ JEAN-PIERRE LEAUD ค่ะ ดิฉันชอบเขาตอนหนุ่มมากๆเช่นกัน หล่อน่ารักสุดๆ แต่ตอนนี้เขาก็ไม่เหลือเค้าเดิมเลยแม้แต่น้อย

ลองนึกทบทวนดูแล้ว พบว่าดิฉันชอบดาราชายชื่อ JEAN มากมายหลายคนด้วยกัน

สามี 11 คนของดิฉันที่มีชื่อว่า JEAN

1.JEAN SOREL (1934)
http://www.imdb.com/name/nm0814799/
http://www.cyranos.ch/sbsorel.jpg
http://i.imdb.com/Photos/Mptv/1236/6231_0020.jpg
ชอบเขาอย่างสุดๆจากเรื่อง BELLE DE JOUR (1967, LUIS BUNUEL, A+)

2.JEAN-PIERRE LEAUD

3.JEAN-LOUIS TRINTIGNANT (1930)
ชอบเขาอย่างสุดๆจาก MY NIGHT AT MAUD’S (1969, ERIC ROHMER, A+)

รูปของ JEAN-LOUIS TRINTIGNANT ใน VIOLENT SUMMER (1959, VALERIO ZURLINI)
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/36/15/21/18653581.jpg
ดีวีดีหนังเรื่อง VIOLENT SUMMER มีวางขายแล้วตั้งแต่วันที่ 30 พ.ค.ปีนี้
http://images.amazon.com/images/P/B000F48DAK.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V56511778_.jpg


4.JEAN-CLAUDE BRIALY (1933)
ชอบเขาอย่างสุดๆในหนังเรื่อง HANDSOME SERGE (1958, CLAUDE CHABROL, A)
http://images.amazon.com/images/P/6304306938.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1122570070_.jpg

รูปของ JEAN-CLAUDE BRIALY จากหนังเรื่อง KING OF HEARTS (1966, PHILIPPE DE BROCA)
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/62/82/66/18656052.jpg

ปกดีวีดี KING OF HEARTS
http://images.amazon.com/images/P/B000059H9D.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1056685339_.jpg

JEAN-CLAUDE BRIALY ใน CLAIRE’S KNEE (1970, ERIC ROHMER, A+/A)
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/35/46/89/18395916.jpg


5.JEAN-PIERRE LORIT

เคยชอบดาราหนุ่มคนนี้มากๆจากหนังเรื่อง A MATTER OF TASTE (2000, BERNARD RAPP, A/A-)

รูปของ JEAN-PIERRE LORIT จากหนังเรื่อง A PERFECT FRIEND (2006, FRANCIS GIROD)
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/36/35/17/18603781.jpg
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/36/35/17/18476797.jpg


6.JEAN-CLAUDE VAN DAMME

7.JEAN-YVES BERTELOOT (1958)
เขาเล่นเป็นผู้ร้ายใน THE DA VINCI CODE

8.JEAN-MARC BARR (1960)
เขาดูน่ากินมากๆใน THE BIG BLUE (1988, LUC BESSON) แต่หลังจากนั้นเขาก็หมดอายุการใช้งานอย่างรวดเร็ว

รูปของ JEAN-MARC BARR ใน SALTIMBANK (2003, JEAN-CLAUDE BIETTE, A+++++)
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/35/12/12/affiche.jpg

JEAN-MARC BARR ใน BEING LIGHT (2001, JEAN-MARC BARR + PASCAL ARNOLD)
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/00/02/36/20/affb.jpg


9.JEAN-HUGUES ANGLADE (1955)
เคยชอบเขามากๆใน LA FEMME NIKITA (LUC BESSON, A+)

รูปของ JEAN-HUGUES ANGLADE ใน TONKA (1997, JEAN-HUGUES ANGLADE)
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/36/24/99/18465329.jpg


10.JEAN MARAIS (1913-1998)

ดาราหนุ่มคู่ขาเกย์ของ JEAN COCTEAU ดิฉันชอบเขามากๆจากหนังเรื่อง ORPHEUS (1950, JEAN COCTEAU, A+) ค่ะ

รูปของ JEAN MARAIS ใน SOUVENIR (1948, JEAN DELANNOY)
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/36/13/42/18455328.jpg


11.JEAN-PIERRE AUMONT (1911-2001)
http://82.67.2.30/COUVERTURES/EF/EF32D.JPG

ยังไม่เคยดูหนังที่เขาแสดงตอนหนุ่มๆเลย แต่ดูรูปแล้วท่าทางตอนหนุ่มๆจะหล่อดี เคยดูผลงานของเขาแค่มินิซีรีส์เรื่อง THE BLOOD OF OTHERS (1984, CLAUDE CHABROL, A-) ที่มาฉายทางช่อง 3
http://images.amazon.com/images/P/B000E8REVQ.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V51316656_.jpg


ตอบคุณ CHRIS’S GIRLFRIEND

--สำหรับความเห็นของคนอื่นๆที่มีต่อหนังเรื่องนั้น มันก็เป็นเพียง “ความเห็นของคนหนึ่งคน” เท่านั้นเองค่ะ คุณ CHRIS’S GIRLFRIEND อย่าได้กังวลใจไปเลย ดิฉันคิดว่าความเห็นของคนแต่ละคนที่มีต่อหนังเรื่องนึง มันย่อมจะสะท้อน “สิ่งที่อยู่ภายในตัวคนดูหนัง” คนนั้นออกมาด้วย เพราะฉะนั้นเวลาคุณ CHRIS’S GIRLFRIEND อ่านความเห็นของใคร ก็อาจจะคิดไปด้วยก็ได้ค่ะว่า การที่ “เขารัก/เกลียดหนังเรื่องนั้น” หลายๆครั้งมันสะท้อนว่า “คนๆนั้นเป็นคนยังไง” มากกว่าจะสะท้อนว่า “หนังเรื่องนั้นเป็นหนังยังไง”

ยกตัวอย่างง่ายๆอย่างเช่นตัวดิฉันเอง การที่ดิฉันให้ WOLF CREEK ติดอันดับ 3 ประจำครึ่งปีแรก และให้ ALWAYS: SUNSET ON THIRD STREET ติดอันดับ 300 ประจำครึ่งปีแรก มันย่อมจะสะท้อนได้เป็นอย่างดีว่าดิฉันเป็นคนอย่างไร มากกว่าจะสะท้อนว่าหนังสองเรื่องนี้เป็นหนังดีหรือเลวยังไง เป็นต้น ฮ่าๆๆๆๆ

--ดิฉันเองไม่ได้นับถือศาสนาอะไร ก็อยากจะให้คำแนะนำเรื่องสรรเสริญ/นินทาแบบข้างๆคูๆ งูๆปลาๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีประโยชน์กับคุณ CHRIS’S GIRLFRIEND หรือเปล่า บางทีมันอาจจะไม่มีประโยชน์อะไร คิดซะว่าดิฉันเขียนเล่นๆสนุกๆบ้าๆบอๆแล้วกันนะคะ

คิดว่าถ้าหากละการติดยึดใน “สรรเสริญ” “นินทา” ได้ ชีวิตเราก็จะมีความสุขขึ้นเยอะค่ะ แต่มันก็ยากเหมือนกัน เวลาที่เราได้รับคำชมหรือคำสรรเสริญ จิตใจเราก็จะฟูฟ่อง ล่องลอย มีความสุขมากๆ อัตตาของเราก็จะใหญ่ขึ้น โตขึ้น และ “ความสุข” ที่เราได้รับจากคำสรรเสริญนี่แหละ ที่จะเป็น “เหตุแห่งทุกข์” ทำให้เราทุกข์ใจในภายหลังเมื่อเราได้รับคำว่าด่าว่านินทา ทางที่ดีก็คือต้องพยายามรู้ทันจิตของเราตลอดเวลา เมื่อเราได้รับคำสรรเสริญยกย่องชมเชย เราก็ต้องรู้ตัวว่าตอนนี้เราดีใจนะ แต่เราจะต้องไม่ติดยึดกับคำสรรเสริญเหล่านี้เป็นอันขาดนะ เพราะถ้าเราติดยึดมีความสุขระรื่นกับคำสรรเสริญมากเท่าไหร่ จิตใจเราก็จะถูกทำร้ายด้วยคำด่าว่านินทาได้ง่ายยิ่งขึ้นเท่านั้น เมื่อเราได้รับคำชม เราก็ดีใจได้ แต่อย่างมีสติ เตือนตัวเองตลอดเวลาว่าถ้าหากในวันหลังเราได้รับคำด่า เราก็จะต้องไม่เสียใจเป็นอันขาด ดิฉันคิดว่าถ้าหากเรามีสติรู้ตัวตลอดเวลา และไม่ดีใจมากเกินไปกับคำสรรเสริญ จิตใจเราก็อาจจะวางเฉยได้ง่ายยิ่งขึ้นกับคำนินทาที่เราอาจได้รับในภายหน้าค่ะ เพราะถ้าหาก “ความสุข” ของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำสรรเสริญแล้ว ความทุกข์ของเราก็จะไม่เกิดจากคำนินทาเช่นเดียวกัน แต่ในความเห็นส่วนตัวของดิฉันเองนั้น การทำใจให้ “ไม่ทุกข์ไม่สุข” (เขาเรียกว่า “อุเบกขา” หรือเปล่านะ) กับคำสรรเสริญนินทานั้น เป็นเรื่องที่ยากมากๆ แต่ถ้ายิ่งเราพยายามทำ ฝึกฝนจิตใจตัวเองในจุดนี้ได้มากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งมีความสุขมากเท่านั้นค่ะ (สุขแบบจริงๆ ไม่ใช่สุขแบบหลอกๆเพราะคำสรรเสริญอันไม่จีรังยั่งยืน) เราไม่มีทางห้ามคนไม่ให้ด่าเราได้ ถึงแม้เราทำดีมากเพียงใด มันก็ต้องมีคนที่เกลียดเราด่าเราอยู่ดี (ดูอย่างคนดีๆอย่างพระพุทธเจ้าสิ ยังเจอนางจิญจมาณวิกามาด่าว่าว่าทำให้นางตั้งท้องเลย) สิ่งเดียวที่เราทำได้ ไม่ใช่ “การควบคุมคนอื่นไม่ให้ด่าเรา” แต่เป็น “การทำใจเราให้วางเฉยต่อคำด่า” ค่ะ

รู้สึกโบราณจะมีคำกล่าวว่า “อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอาตูดไปครูดหิน” ค่ะ (เอ๊ะ ดิฉันต้องจำผิดแน่ๆเลย)

ว้าย รู้สึกว่าตัวเองเขียนอะไรไร้สาระที่ไม่เกี่ยวข้องกับคุณ CHRIS’S GIRLFRIEND เลย รู้สึกว่าสิ่งที่ดิฉันเขียนไปนั้นเป็นสิ่งที่ดิฉันพยายามเตือนสติสอนตัวเองมากกว่า แหะๆ ขออภัยค่ะ


--ยังไม่ได้ดู LOVER’S CONCERTO เลยค่ะ

--พูดถึงหนังผู้หญิงฆ่ากัน แล้วนึกถึง THE DESCENT (2005, NEIL MARSHALL, A+) ค่ะ ล่าสุดนี้นิตยสาร FILM COMMENT ได้สอบถาม NEIL MARSHALL เกี่ยวกับ 10 หนังที่เขาชอบในแบบ GUILTY PLEASURES ด้วย

10 หนังสุดโปรดของ NEIL MARSHALL ได้แก่เรื่อง

1.1941 (1979, STEVEN SPIELBERG)
http://images.amazon.com/images/P/0783231032.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1122566908_.jpg

2.BATTLE BEYOND THE STARS (1980, JIMMY T. MURAKAMI)
http://images.amazon.com/images/P/B000055ZF1.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1056683168_.jpg

3.EXCALIBUR (1981, JOHN BOORMAN)
http://images.amazon.com/images/P/6305558167.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1056623014_.jpg

4.TOP SECRET (1984)
http://images.amazon.com/images/P/B000066C6Z.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1057228183_.jpg

5.RACE FOR THE YANKEE ZEPHYR (1981, DAVID HEMMINGS)
In a lake high in the mountains of New Zealand hunter Gibbie Gibson discovers a plane wreck from ww-ii. When he tells it around, a gang of crooks follows and threatens him and his daughter, because they know there are 50 million dollars in the wreck. Helicopter pilot Barney helps Gibbie against them, risking his life thereby.

6.HIGH RISK (1976, STEWART RAFFILL)
Four American friends, badly needing money, decide to make a commando-like raid into a South American country and steal $5 million from the hacienda of an American-born drug dealer who lives there. The four Americans then succeed rather easily in stealing the money, but soon run into trouble trying to get back out of the country, as both the drug dealer and a small army of bandits each hunt them down trying to get the money.


7.BIG TROUBLE IN LITTLE CHINA (1986, JOHN CARPENTER, B+)

8.THE SWORD AND THE SORCERER (1982, ALBERT PYUN)
http://ec1.images-amazon.com/images/P/B000059PP2.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1056685518_.jpg

9.THE LEGEND OF BOGGY CREEK (1972, CHARLES B. PIERCE)
http://images.amazon.com/images/P/B0000648XG.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1056710530_.jpg
หนังสารคดีตอแหลเกี่ยวกับตัวประหลาดบิ๊กฟุต


ตอบคุณอ้วน

--พูดถึงตัวละครพระเอกใน LADY IN THE WATER แล้วก็ทำให้นึกถึงนางเอกใน BEYOND RANGOON (1995, JOHN BOORMAN, A+) ค่ะ เพราะนางเอกใน BEYOND RANGOON เป็นหญิงสาวที่หมดอาลัยตายอยากในชีวิตหลังจากสามีและลูกๆถูกฆ่าตายหมดทั้งบ้านอย่างไม่มีเหตุผล แต่หลังจากเธอมาเที่ยวพม่า และได้พบกับความทุกข์เข็ญของประชาชนในพม่า เธอก็เลยมีกำลังใจจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกครั้ง และจะพยายามช่วยเหลือชาวโลกผู้ทุกข์ยากให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


วันนี้ได้ดูหนังสองเรื่องที่ห้องสมุดมหาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งก็คือ

1.THE CHAMPIONS (2003, CHRISTOPH HUBNER, A++++++++++)
http://www.imdb.com/title/tt0383977/
http://www.die-champions-der-film.de/spieler.php
ดูแล้วร้องห่มร้องไห้ หนังสารคดีเรื่องนี้ติดตามถ่ายทำชีวิตของนักฟุตบอลดาวรุ่งหนุ่มๆ ในทีมเยาวชนของเยอรมนีเป็นเวลา 5 ปี แต่นักฟุตบอลดาวรุ่งแต่ละคนในหนังเรื่องนี้ ต่างก็ไปไม่ถึงฝั่งฝันกันแทบทั้งนั้น พวกเขาเติบโตขึ้นมาเป็นเพียงตัวสำรองที่จะได้ลงแข่งเพียง 10 นาทีทุกๆ 6 เดือน หรือไม่ก็ไม่ได้ลงสนามเลย ต้องนั่งเป็นตัวสำรองอยู่ข้างสนามตลอดไป และเมื่อพวกเขาแก่ตัวลง เมื่อพวกเขาเข้าสู่วัยกลางคน พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่ทำงานในโรงงานผลิตสินค้าของสโมสรฟุตบอลเท่านั้น และได้แต่รำลึกว่า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิตตัวเองคือช่วงที่พวกเขาได้เล่นในทีมเยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปี

มีนักฟุตบอลลูกครึ่งไทยในหนังเรื่องนี้ด้วย เขาชื่อ HEIKO HESSE และหน้าตาน่ารักมากๆ เขารู้ตัวเองดีว่าอย่างมากเขาก็เป็นได้แค่ตัวสำรอง เขาก็เลยพยายามเอาดีทางการเรียนหนังสือแทน

ส่วนหนุ่มชิลีในหนังเรื่องนี้ไม่โชคดีเท่า เขาออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 14 ปีเพื่อมาเตะฟุตบอลในเยอรมนี และเมื่อเขาไม่มีวันก้าวขึ้นมาเป็น “ตัวจริง” ในการแข่งขัน เขาก็แทบไม่มีทางออกที่ดีให้กับอนาคตของตัวเอง และเขาก็หายสาบสูญไปในที่สุด

หนึ่งในฉากที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ คือฉากที่หนุ่มชิลีสับสนกับภาษาเยอรมัน และเขาก็พูดภาษาเยอรมันอย่างผิดๆออกมาว่า THE DAY BEFORE YESTERDAY IS TOMORROW.

อีกฉากที่ชอบมากก็คือฉากที่หนุ่มชิลีตอนตกอับมายืนดูเด็กๆเล่นฟุตบอลอย่างสนุกสนาน เขาหันมาบอกกับกล้องว่า “ผมรู้สึกหนาวเท้ามากๆ” พร้อมกับทำท่าคล้ายๆปาดน้ำตา

ดูหนังเรื่องนี้แล้วนึกถึงหนังสารคดีเรื่อง THE HOUSEWIFE’S FLOWER (1998, DOMINIK WESSELY, A+++++) ที่ติดตามถ่ายทำชีวิตของเซลส์แมนหนุ่มๆที่ขายเครื่องดูดฝุ่นให้กับบรรดาแม่บ้านในเยอรมนี หนังสารคดีทั้งสองเรื่องนี้ไม่ได้ให้หนุ่มๆนักฟุตบอลหรือหนุ่มๆเซลส์แมนมาร้องห่มร้องไห้ต่อหน้ากล้อง แต่ดิฉันดูแล้วรู้สึกอยากร้องไห้ทั้งสองเรื่อง เพราะหนังทั้งสองเรื่องนี้แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีว่าชีวิตคนธรรมดาบางคนมันลำบากยากแค้นแสนเข็ญมากเพียงใด และมันเป็นชีวิตคนธรรมดาที่ไม่มีวันได้รับ “โอกาสทอง” ในชีวิตแบบที่ตัวละครพระเอกหนังส่วนใหญ่มักจะได้รับ
http://ec3.images-amazon.com/images/P/B000058DSV.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1132480855_.jpg

สิ่งที่ทำให้ดิฉันร้องไห้ใน THE CHAMPIONS ก็คือ “แววตา” ของนักฟุตบอลหนุ่มๆในเรื่อง นักฟุตบอลหนุ่มๆเหล่านี้ไม่ได้ร้องไห้ชัดๆเลย แต่ในช่วงต้นเรื่อง เราได้เห็นดวงตาของพวกเขา “เปล่งประกายสดใส” ดวงตาของพวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความฝัน, ความหวัง และความสุข แต่ขณะที่เนื้อเรื่องดำเนินไป “ประกาย” ก็ค่อยๆหายไปจากดวงตาของพวกเขา ดวงตาของพวกเขาแห้งผากขึ้นเรื่อยๆ ดวงตามันดู “ด้าน” ขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นดวงตาของคนที่ไม่มีความหวังในชีวิตหลงเหลืออยู่อีกแล้ว


2.FOOTBALL AS NEVER BEFORE (1971, HELLMUTH COSTARD, A+++++)

ดูหนังเรื่องนี้แล้วรู้สึกเหมือนดูหนังโป๊ เพราะมันกระตุ้นตัณหาราคะในตัวดิฉันอย่างรุนแรงมากทั้งๆที่หนังเรื่องนี้ไม่มีฉากโป๊เลยแม้แต่นิดเดียว การดูหนังเรื่องนี้ทำให้ดิฉันรู้สึกเหมือนได้ร่วมรักกับ GEORGE BEST สองรอบ รอบละ 45 นาทีติดต่อกัน และได้ลูบไล้สัมผัสท่อนล่างของ GEORGE BEST อย่างเต็มที่

http://www.soccernet.com/design05/images/PH/Best69_Empics.jpg

No comments: