Wednesday, November 01, 2006

SILENCE WILL SPEAK, BUT THE WIND CANNOT HEAR

ตอบน้อง merveillesxx

ความรู้สึกที่มีต่อ SILENCE WILL SPEAK

ในที่สุดก็พอจะมีเวลาเขียนถึงความรู้สึกที่มีต่อ SILENCE WILL SPEAK (2006, PUNLOP HORHARIN, A+) สาเหตุที่ดิฉันชอบหนังเรื่องนี้มากๆก็มีเพียงแค่ว่าดิฉันรู้สึกมีความสุขมากๆที่ได้ดูหนังเรื่องนี้เท่านั้นเอง หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยฉากหลายฉากที่ดิฉันดูแล้วไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอะไร ตั้งแต่ฉากบนรถเมล์, ฉากชายหนุ่มถ่ายภาพกรุงเทพในปัจจุบัน ที่ตัดสลับกับภาพถ่ายในอดีต, ฉากชายหนุ่มนั่งพับนกขณะรถติด ก่อนจะไปถึงทะเล, ฉากการขโมยกระเป๋าถือของผู้หญิง, ฉากชายหนุ่มพบกับเหตุการณ์ไฟดับจนต้องจุดเทียน, เสียงเพลงชาติ, ฉากการไปเลือกตั้ง, ฉากบนรถไฟฟ้า เรื่อยมาจนถึงภาพจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ, เหตุการณ์ชุมนุมประท้วงเมื่อต้นปีนี้, คปค. และจบลงด้วยภาพหญิงสาวทำหน้าตาแปลกๆขณะที่ตัวเลขสัญญาณไฟจราจรกำลังถอยหลังไปเรื่อยๆและดูเหมือนตัวเลขจะหยุดอยู่ที่ “19”

ตอนที่เข้าไปดูหนังเรื่องนี้ ไม่ได้อ่านเรื่องย่อของหนังมาก่อน แต่ที่ตัดสินใจเลือกดูเป็นเพราะว่าชอบ EVERYTHING WILL FLOW (2000, PUNLOP HORHARIN, A+) และ A HALF-LIFE OF CARBON 14 (2005, PUNLOP HORHARIN, A+) อย่างมากๆ และพอไปดูแล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ SILENCE WILL SPEAK เป็นหนังที่ไปไกลกว่า EVERYTHING WILL FLOW ที่ยังพอมีเนื้อเรื่องให้จับต้องได้ แต่ถึงแม้ EVERYTHING WILL FLOW มีเนื้อเรื่อง ดิฉันกลับรู้สึกว่า EVERYTHING WILL FLOW ดูแล้วชวนง่วงนอนเล็กน้อยในช่วงท้ายเรื่อง ในขณะที่ SILENCE WILL SPEAK ดูแล้วไม่รู้สึกง่วงนอนเลย แต่รู้สึกตื่นเต้นตลอดเวลาโดยไม่รู้ว่าเพราะอะไร

หลังดู SILENCE WILL SPEAK จบ ดิฉันก็รีบแจ้นไปดูหนังอีกโรงนึงต่อ ก็เลยไม่ได้ฟังคุณพัลลภพูด ตอนหลังเพื่อนบอกว่าคุณพัลลภดูเหมือนจะพูดว่า SILENCE WILL SPEAK เกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมืองไทย ดิฉันก็เลยรู้สึกทึ่งกับหนังเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น เพราะในขณะที่ดูหนังเรื่องนี้นั้น ดิฉันแทบไม่ได้ “ตีความ” หลายๆฉากที่เห็นในหนังเลยแม้แต่นิดเดียว ฉากหลายๆฉากในหนังที่เป็นกิจวัตรของผู้คนในเมืองใหญ่นั้น ดิฉันดูแล้วรู้สึกเพลิดเพลินไปกับมันอย่างมากๆ แต่ไม่ทันได้ฉุกคิดเลยแม้แต่น้อยว่าฉากเหล่านั้นมีความหมายทางการเมืองอย่างใดซ่อนอยู่บ้าง ขณะที่ดูหนังเรื่องนี้ ดิฉันก็พอจะเดาออกว่าหนังคงมีประเด็นการเมืองซ่อนอยู่บ้าง โดยดูจากฉากที่พูดถึงการเมืองอย่างตรงๆอย่างเช่นฉากการไปเลือกตั้ง, เสียงเพลงชาติ, ฉากพฤษภาทมิฬ และฉากการชุมนุมประท้วงในช่วงต้นปีนี้ แต่ดิฉันไม่ได้คิดจะโยงฉากกิจวัตรประจำวันในหนังเข้ากับประเด็นการเมืองแต่อย่างใดในขณะที่นั่งดู

การที่ได้รู้ในภายหลังว่า SILENCE WILL SPEAK มีคุณค่ามากกว่า “ความเพลิดเพลินในการนั่งดูชีวิตคนกรุงเทพ” ทำให้ดิฉันรู้สึกอยากดูหนังเรื่องนี้ในรอบสองมากยิ่งขึ้น และอาจจะทำให้ความรู้สึกชอบหนังเรื่องนี้พุ่งสูงขึ้นไปอีก

ฉากพฤษภาทมิฬในหนังเรื่องนี้เป็นฉากที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็น CLIMAX ของเรื่อง มันเป็นฉากที่ให้ความรู้สึกรุนแรงอย่างมากๆ โดยเฉพาะเมื่อได้มาดูหนังเรื่องนี้ในเดือนต.ค.ปีนี้

ถ้าหากตัดสินคุณค่าของ SILENCE WILL SPEAK ในแง่ของ “ความสัมฤทธิ์ผลทางการสื่อ “สาร” ต่อตัวดิฉัน” หนังเรื่องนี้ก็อาจจะสอบตก เพราะดิฉันไม่ได้สำเหนียกถึงประเด็นการเมืองในฉากกิจวัตรประจำวันในหนังเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ดิฉันอาจจะได้รับ “สาร” เพียง 5-10 % ของสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อ

แต่ดิฉันไม่ได้ดูหนังเพราะต้องการรับ “สาร” เพียงอย่างเดียว ดิฉันดูหนังเพราะต้องการ “ความสุข”, “ความเพลิดเพลิน” และ “ความบันเทิง” และ SILENCE WILL SPEAK ก็ให้ความสุขและความเพลิดเพลินทางอารมณ์แก่ดิฉันอย่างสุดๆอย่างที่หนังไทยเรื่องอื่นๆในปีนี้ทำไม่ได้ “ความเพลิดเพลินอย่างสุดๆในฉากกิจวัตรประจำวัน” และ “อารมณ์ที่พุ่งขึ้นถึงขีดสุด” ในฉากพฤษภาทมิฬในหนังเรื่องนี้คือสิ่งที่ทำให้ SILENCE WILL SPEAK คงจะเป็นหนึ่งในสิบหนังไทยที่ดิฉันชอบที่สุดในปีนี้

SILENCE WILL SPEAK ทำให้ดิฉันรู้สึกทึ่งกับคุณพัลลภอย่างมากๆ เพราะเขาสามารถทำหนังเรื่องนี้ให้ตอบสนองผู้ชมได้ทั้งกลุ่มที่ชื่นชอบการตีความ ซึ่งน่าจะเข้าใจ “สาร” หลายๆอย่างในหนังของเขา และสามารถตอบสนองผู้ชมกลุ่มที่ไม่ชื่นชอบการตีความ อย่างเช่น ดิฉัน ซึ่งไม่เข้าใจสารในฉากประมาณ 90 % ของหนัง แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองได้รับ “ความเพลิดเพลินอย่างสุดๆ” จากการนั่งดูฉากเหล่านั้น

หนังเรื่อง SILENCE WILL SPEAK ทำให้ดิฉันนึกถึงหนังเรื่องอื่นๆอีกหลายๆเรื่องที่อาจจะเต็มไปด้วยสัญลักษณ์และความหมายี แต่ถึงคุณดูแล้วไม่เข้าใจสัญลักษณ์ในหนังเลยแม้แต่นิดเดียว คุณก็ยังรู้สึกทึ่ง, เพลิดเพลิน และตะลึงลานไปกับภาพที่ได้เห็นและเสียงที่ได้ยิน และได้รับ “ความสุข” อย่างมากๆจากการดูหนังเรื่องนั้น ถึงแม้ไม่ได้รับ “สาร” ใดๆจากหนังเรื่องนั้น

การดูหนังแบบนี้บางทีก็ทำให้ดิฉันนึกถึงความสุขที่ได้รับจากการฟังเพลงญี่ปุ่น ที่ดิฉัน “ไม่เข้าใจ” ความหมายของเพลง แต่ก็ได้รับความเพลิดเพลินอย่างมากๆจากการฟังเพลงนั้น หรือบางทีถ้าหากจะเปรียบเทียบอย่างหยาบๆ ก็อาจจะเปรียบเทียบได้ว่า ผู้สร้างหนังเรื่องนั้นมอบ “ตัวต่อเลโก้” ให้ผู้ชม และผู้ชมที่ชอบ “ใช้ความคิด” ก็จะสามารถนำตัวต่อเลโก้เหล่านั้นมาต่อเป็นฐานทัพเรือได้อย่างเหมาะเจาะลงตัวตามที่ผู้สร้างหนังต้องการ แต่ผู้ชมที่ “ไม่ชอบใช้ความคิด” อย่างดิฉัน กลับรู้สึกเพลิดเพลินมากๆ ที่ได้นั่งพิจารณาสีสันและรูปร่างของตัวต่อเลโก้แต่ละชิ้น และเอาตัวต่อเลโก้เหล่านั้นมานั่งต่อเป็นโอ่งมังกรหรือชักโครกหรืออะไรบ้าๆบอๆ โดยไม่รู้เลยว่าจริงๆแล้วเขาให้เอามาต่อเป็นฐานทัพเรือ แต่ก็มีความสุขมากๆที่ได้นั่งเล่นกับตัวต่อเลโก้เหล่านั้น (หรือนั่งดูฉากแต่ละฉากในหนังเรื่องนั้น)

นอกจาก SILENCE WILL SPEAK แล้ว หนังที่ “สร้างความเพลิดเพลิน” อย่างสุดๆให้แก่ดิฉัน โดยที่ดิฉัน “ไม่สามารถเข้าใจ” มันได้เลยแม้แต่นิดเดียว ยังรวมถึง

1.TAKE THE 5:10 TO DREAMLAND (1976, BRUCE CONNER, A++++++++++)
http://www.imdb.com/title/tt0131047/
หนังเรื่องนี้นำฉากอะไรก็ไม่รู้หลายๆฉากมาต่อเข้าด้วยกัน โดยไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องกันยังไง รู้แต่ว่าการดูหนังเรื่องนี้ให้ความรู้สึกที่สุขสุดยอดที่สุดในชีวิต


2.THE DEATH OF MARIA MALIBRAN (1972, WERNER SCHROETER, A++++++++++)
http://www.imdb.com/title/tt0067861/
รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้จะเล่าประวัติชีวิตของมาเรีย มาลิบราน นักร้องโอเปร่าชื่อดังในอดีต แต่ดูจบแล้วดิฉันกลับไม่ได้ “ความรู้” เพิ่มเติมเลยแม้แต่นิดเดียวว่ามาเรีย มาลิบรานเป็นใครอะไรยังไง


3.AGATHA AND THE UNLIMITED READINGS (1981, MARGUERITE DURAS, A++++++++++)
http://www.imdb.com/title/tt0205726/
ตอนที่หนังเรื่องนี้มาฉายที่ ALLIANCE FRANCAISE เมื่อไม่กี่ปีก่อน จำได้ว่าคุณพัลลภ ฮอหรินทร์ได้มานั่งดูหนังเรื่องนี้ด้วย หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยฉากประตู, หน้าต่าง, ห้องโล่งๆ และชายหาดโล่งๆ บางทีกล้องก็จับภาพหน้าต่างเฉยๆเป็นเวลาประมาณ 5 นาที แต่ MARGUERITE DURAS กลับสามารถตรึงอารมณ์ความรู้สึกของดิฉันได้ตลอดเวลาเหล่านั้น โดยไม่รู้ว่าเธอทำได้อย่างไร


4.FREAK ORLANDO (1981, ULRIKE OTTINGER, A++++++++++)
http://www.imdb.com/title/tt0082414/


5.AFTER ALL (2002, VOLKER EICHELMANN + ROLAND RUST, A++++++++++)


6.THE GARDEN (1990, DEREK JARMAN, A+++++++++)
ถ้าหากคนที่มีความรู้เรื่องตำนานทางศาสนามาดู อาจจะเข้าใจหนังเรื่องนี้


7.THE COLOR OF POMEGRANATES (1968, SERGEI PARAJANOV, A+)
http://www.imdb.com/title/tt0063555/


8.DRIPPING (2004, JAKRAWAL NILTHAMRONG, A+)


9.เมืองเอก 1579 (2006, SERI LACHONABOT, A+)


10.QUICK BILLY (1971, BRUCE BAILLIE, A)
http://www.imdb.com/title/tt0206235/

แต่ก็มีหนังบางเรื่องเช่นกัน ที่ดิฉันดูแล้ว “ไม่เข้าใจ” และ “ได้รับความเพลิดเพลินแค่ในระดับปานกลางเท่านั้น” ซึ่งนั่นก็คงไม่ใช่ความผิดของหนังแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงเพราะว่าดิฉันไม่ใช่ผู้ชมกลุ่มเป้าหมายของหนังเท่านั้นเอง

หนังในกลุ่มนี้ก็มีเช่น


1.DANCE OF DUST (1998, ABOLFAZL JALILI, B+)
http://www.iofilm.co.uk/fm/d/dance_of_dust_1998.shtml

2.NAQOYQATSI (2002, GODFREY REGGIO, B+)
http://www.imdb.com/title/tt0145937/

***คุณแฟรงเกนสไตน์เขียนถึง SILENCE WILL SPEAK ไว้ใน SCREENOUT หน้า 158 ค่ะ
http://xq28.net/s/viewtopic.php?t=3437&start=3925

No comments: