Monday, January 15, 2007

MY MOST IMPORTANT OBSTACLE IS MYSELF

ตอบคุณ “ใครบางคน”
http://celinejulie.blogspot.com/2007/01/battle-of-wits-jacob-cheung.html#comments

ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าภาพทะเลในตอนจบของหนังเรื่อง BLUE (2001, HIROSHI ANDO, A+) หมายถึงอะไร

อยากรู้จังเลยว่าคุณ “ใครบางคน” เป็นใคร ไม่แน่ใจว่าเป็นใครบางคนใน SCREENOUT ปลอมตัวมาหรือเปล่า ฮ่าๆๆๆๆ แต่ถ้าไม่ใช่ ก็ขออภัยด้วยค่ะ

อ่านบทวิจารณ์หนังเรื่อง BLUE ของน้อง merveillesxx ได้ที่
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=merveillesxx&month=10-2006&date=06&group=1&blog=1

>>อย่างไรก็ตามดูเหมือนคำว่า Blue จะถูกเน้นย้ำมากที่ในตอนจบของเรื่องในวิดีโอที่เอ็นโด้ส่งให้คิริชิม่า (ที่อาจทำให้หนังดู ‘จงใจ’ ไปหน่อย) ภาพในเทปนี้คือ ทะเลที่เอ็นโด้เคยพาคิริชิม่าไป ภาพในตอนแรกก็ยังเป็นหาดทรายที่เอ็นโด้เหยียบย่ำไปเรื่อย แต่อยู่ดีๆ เอ็นโด้ก็กดซูมภาพทะเลตรงหน้า จนจอภาพเต็มไปด้วยสีฟ้า (อันชวนให้คิดถึงหนังเรื่อง Blue ของดีเร็ค จาร์แมน)

มีคำถามมากมายเกิดขึ้นว่า เอ็นโด้ทำแบบนี้เพื่ออะไร ...บางทีเธออาจจะไปที่นั่นเพื่อแค่ต้องการถ่ายวิดีโอส่งให้คิริชิม่า หรือบางทีเธออาจจะไปฆ่าตัวตายก็ได้ ในจุดนี้หนังไม่มีคำตอบให้เราชัดเจน แต่สำหรับผมแล้ววิดีโอนี้น่าจะบอกกับเราสองอย่าง อย่างแรกก็คือ ข้อความในจดหมายที่เอ็นโด้เขียนว่า “ฉันทำได้เพียงเท่านี้” มันเป็นส่วนขยายต่อจากที่เธอเคยพูดอยู่เสมอว่า “ฉันมันทำอะไรไม่ได้ดีสักอย่าง” แต่อย่างน้อยที่สุดนี่ก็น่าจะเป็นสิ่งที่เธอได้ตั้งใจทำแล้ว

อย่างที่สองก็คือ เอ็นโด้พูดอยู่บ่อยๆ ว่า “ฉันอยากไปไกลๆ จากที่นี่” และทั้งสองคนก็ชอบพูดกับอีกฝ่ายว่า “เธอนั่นแหละจะเป็นคนจากไป ฉันต่างหากที่ต้องอยู่ที่นี่” และสุดท้ายคนที่ไปก็คือ คิริชิม่า (เธอไปเรียนต่อมหาลัยที่โตเกียว) แต่หากเอ็นโด้ยังคงยืนยันที่จะ ‘ไปไกลๆ’ จากที่ที่เธอเคยอยู่ บางทีภาพในวิดีโอนั่นเองที่เป็นจุดหมายของเธอเธอคงอยากจะไปที่สุดขอบฟ้า ขอบทะเล และบางทีเธอคงจะไปที่ที่ไกลแสนไกลของเธอแล้ว<<


อ่านบทวิจารณ์หนังเรื่อง BLUE ของคุณวิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศาได้ที่
http://www.onopen.com/2007/02/1348

>>หนังปิดฉากลงอย่างเศร้าสร้อย เมื่อเอนโดถ่ายภาพเส้นขอบฟ้ามาให้คายาโกะ ภาพสีฟ้าของท้องฟ้าตัดกับสีฟ้าของน้ำทะเล เส้นขอบฟ้านั้นช่างเวิ้งว้างว่างเปล่าสิ้นดี ยิ่งไกลออกไป ไกลออกไป ทุกสรรพสิ่งก็เลือนหายกลายเป็นสีฟ้า อันเป็นสีของความเศร้า<<


ความเห็นส่วนตัวของดิฉันเกี่ยวกับหนังเรื่อง BLUE

ถึงแม้ดิฉันจะตอบไม่ได้ว่าทะเลใน BLUE หมายถึงอะไร และไม่รู้ว่าในที่สุดแล้วเอนโดฆ่าตัวตายหรือเปล่า แต่ดิฉันก็ชอบหนังเรื่องนี้มากค่ะ สาเหตุหนึ่งเพราะว่ามันทำให้คิดถึงชีวิตของตัวเอง

ต้องขออภัยคุณ “ใครบางคน” ด้วยค่ะที่ดิฉันไม่สามารถตอบคำถามของคุณได้ แต่ไหนๆก็พูดถึงเรื่อง BLUE แล้ว ดิฉันก็ขอสาธยายต่อแล้วกันนะคะว่าดูหนังเรื่อง BLUE แล้วมันทำให้คิดถึงชีวิตของดิฉันเองอย่างไรบ้าง

(ดิฉันเป็นนักดูหนังประเภทที่ไม่สนใจค่ะว่าหนังเรื่องนั้นสื่อถึงอะไร แต่ความสนใจหลักจะมุ่งไปยังประเด็นที่ว่าหนังเรื่องนั้นทำให้ดิฉันรู้สึกอย่างไรมากกว่า และเวลาที่ดิฉันเขียนถึง “หนัง” แต่ละเรื่อง จริงๆแล้วดิฉันไม่ได้เขียนถึงหนังเรื่องนั้น แต่ดิฉันกำลังเขียนถึงชีวิตของตัวเองและความคิดของตัวเอง)

ดิฉันอาจจะไม่ได้คล้ายตัวละครเอนโด แต่ชีวิตของดิฉันก็มีจุดนึงคล้ายกับตัวละครตัวนี้ นั่นก็คือดิฉันแทบไม่เคยได้ไปไหนไกลเลย ดิฉันได้แต่จมปลักอยู่ในกรุงเทพตลอดชีวิต 33 ปีของดิฉัน ดิฉันไม่เคยไปต่างประเทศ ยกเว้นเคยเดินเข้าไปในพม่าประมาณ 1 กิโลเมตร ไม่เคยขึ้นเครื่องบิน และแทบไม่เคยไปต่างจังหวัดเกินปีละ 2 ครั้ง

สาเหตุสำคัญที่ดิฉันไม่เคยไปต่างประเทศ เป็นเพราะว่าดิฉันไม่มีเงินเพียงพอ ส่วนสาเหตุสำคัญที่ดิฉันแทบไม่เคยไปต่างจังหวัด เพราะดิฉันขี้เกียจท่องเที่ยว และแทบไม่มีเพื่อนที่จะไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ

ในบางเวลา ดิฉันก็เคยรู้สึกอิจฉาเพื่อนๆเหมือนกันที่พวกเขาได้ไปเรียนต่อต่างประเทศหรือได้ไปตั้งต้นชีวิตใหม่ที่ต่างประเทศ แต่ดิฉันก็ไม่ได้อิจฉาพวกเขาจนรู้สึก “เป็นทุกข์” แต่อย่างใด เพราะดิฉันเกิดมาจน เพราะฉะนั้นจึงรู้ตัวดีตั้งแต่เด็กๆว่าตัวเองคงแทบไม่มีโอกาสมีเงินพอเดินทางไปเมืองนอกแน่ๆ

แต่เพื่อนบางคนก็ทำให้ดิฉันรู้ว่า “ความจน” ไม่ใช่ข้อแก้ตัวได้เสมอไป เพราะเพื่อนๆหลายคนที่ดิฉันรู้จักก็เกิดมาจนเหมือนดิฉัน แต่พวกเขาใช้ความสามารถของตัวเองจนได้ไปตั้งต้นชีวิตใหม่ที่เมืองนอกกันอย่างสุขเกษมเปรมปรีดิ์ เพื่อนๆกลุ่มนี้คือเพื่อนๆที่ดิฉันเคยรู้จักสมัยทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในบาร์เกย์แห่งหนึ่งค่ะ ดิฉันเคยทำงานในบาร์เกย์อยู่ราว 3 เดือน และได้รู้จักกับเด็กเสิร์ฟกลุ่มหนึ่งในนั้น และต่อมาดิฉันก็พบว่าเด็กเสิร์ฟหลายๆคนที่เคยเป็นเพื่อนร่วมงานของดิฉัน ต่างก็ได้ฝรั่งพาไปตั้งต้นชีวิตใหม่ที่เมืองนอกกันอย่างมีความสุข พวกเขาได้ทั้งสามีฝรั่ง, ได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอังกฤษกับเยอรมนี และสามีของพวกเขาก็ส่งเสียให้พวกเขาได้เรียนต่อระดับปริญญาตรี ปริญญาโทกันด้วย

ดิฉันขอยอมรับตามตรงค่ะว่า ในแง่หนึ่งดิฉันนับถือเพื่อนๆกลุ่มนี้มากกว่าเพื่อนๆบางคนที่ดิฉันรู้จักในมหาลัยเสียอีก เพราะเพื่อนๆเด็กเสิร์ฟในบาร์เกย์นี้พวกเขาไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาตั้งแต่เกิด ไม่ได้มีพ่อแม่ขับรถมาส่งที่โรงเรียน ไม่ได้มีพ่อแม่ใส่เงินในบัญชีธนาคารหรือทำบัตรเครดิตให้ เพื่อนๆกลุ่มนี้ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อส่งเสียตัวเองเรียนหนังสือ และต้องใช้ความสามารถอย่างสุดขีดกว่าจะหาผัวฝรั่งดีๆได้สักคน ลำพังตัวดิฉันเองนั้น กว่าจะหาคู่นอนฝรั่งดีๆได้สักคนก็ยากลำบากเลือดตาแทบกระเด็นแล้วค่ะ ไม่ต้องพูดไปถึงการหาแฟนเป็นฝรั่ง หรือการหาฝรั่งสักคนที่มีฐานะดีพอที่จะเลี้ยงดูเรา, เต็มใจเลี้ยงดูเรา หรือรักเรามากพอที่จะพาเราไปอยู่กินด้วยกันที่เมืองนอก เรื่องอย่างนี้มันไม่สามารถพึ่งดวงได้อย่างเดียว มันต้องใช้ความพยายาม, วิริยะอุตสาหะ, ฉันทะวิริยะจิตตะวิมังสา เรื่องอย่างนี้ “ความสามารถ” และ “ความพยายามอย่างเต็มที่”คือองค์ประกอบสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ (ผัวฝรั่งฐานะดี) ค่ะ แต่น่าเสียดายที่ดิฉันไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้

การได้ดูเพื่อนๆคนแล้วคนเล่าเดินทางไปเมืองนอกในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ทั้งเพื่อนมัธยม, เพื่อนมหาลัย, เพื่อนที่ทำงาน, และเพื่อนๆเด็กเสิร์ฟในบาร์เกย์ มันทำให้ดิฉันรู้สึกเศร้าเล็กน้อยและรู้สึกอิจฉาค่ะ และมันทำให้ดิฉันนึกถึงเอนโดในฉากจบของเรื่อง BLUE ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองมีปัญหาทางสภาพจิตบางอย่างที่ทำให้ตัวเองขาดแรงกระตุ้นในการจะพาตัวเองออกไปจากประเทศนี้อย่างจริงจัง แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร บางทีถ้าหากดิฉันเข้าใจหนังเรื่อง BLUE หรือเข้าใจตัวละครเอนโดมากกว่านี้ ดิฉันอาจจะเข้าใจตัวเองมากกว่านี้ และอาจจะหาทางแก้ไขข้อเสียในตัวเองได้มากยิ่งขึ้น (มันเกี่ยวกันหรือเปล่าเนี่ย)

เพื่อนๆของดิฉันมักจะคะยั้นคะยอให้ดิฉันสอบชิงทุนไปเมืองนอก ดิฉันก็เลยทำตามเพื่อนๆยุจนกระทั่งดิฉันสอบชิงทุนของมหาลัยแห่งหนึ่งในไทยได้เมื่อราว 10 ปีก่อน มหาลัยแห่งนั้นจะส่งดิฉันไปเรียนต่อปริญญาโทที่เมืองนอก เพื่อให้ดิฉันกลับมาทำงานเป็นอาจารย์ที่มหาลัยแห่งนั้น โดยใช้ทุนเป็นเวลา 3 เท่าของเวลาที่ไปเรียนต่อ อย่างเช่นถ้าหากดิฉันไปเรียนต่อปริญญาโท 1 ปี ดิฉันก็จะต้องกลับมาทำงานเป็นอาจารย์มหาลัยเป็นเวลา 3 ปี

แต่ในที่สุดดิฉันก็ปฏิเสธทุนนั้นไป ด้วยสาเหตุสำคัญก็คือดิฉันรู้สึกไม่อยากไป และมั่นใจว่าสภาพจิตตัวเองคงไม่พร้อมที่จะไปเรียนต่อได้ หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะดิฉันขี้เกียจ ดิฉันก็ไม่รู้แน่เหมือนกันว่าเพราะอะไรกันแน่ แต่ดิฉันก็ปฏิเสธทุนที่ได้รับมา เพราะไม่อยากไป และดิฉันก็ได้รับบทเรียนว่าต่อไปนี้ดิฉันจะไม่ทำตามสิ่งที่เพื่อนๆยุอีก เพราะถ้าหากมันไม่ใช่สิ่งที่ดิฉัน “อยากทำจริงๆ” ต่อให้เพื่อนๆเห็นว่าดิฉัน “ควรทำ” มันมากแค่ไหน ดิฉันก็คงจะไม่มีวันทำมันได้สำเร็จ เพราะสภาพจิตดิฉันไม่แข็งแกร่งพอจะอดทนทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำได้

บางทีดิฉันก็สงสัยเหมือนกันว่าถ้าหากดิฉันเลือกทางเดินชีวิตในอดีตได้ใหม่อีกครั้ง ชีวิตมันจะเป็นอย่างไรบ้างนะ ถ้าหากดิฉันไม่ปฏิเสธทุนไปเรียนต่อเมืองนอกเมื่อ 10 ปีก่อน ชีวิตหลังจากนั้นมันจะเป็นอย่างไรบ้าง และดิฉันก็ค่อนข้างมั่นใจว่าดิฉันคงจะเรียนต่อไม่สำเร็จแน่ๆ คงจะต้องเลิกเรียนกลางคันอย่างแน่นอน เพราะสภาพจิตดิฉันไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำได้

2 comments:

Anonymous said...

เอ่อ คือนึกภาพ อาจารย์แมดเอลีน ไม่ออกน่ะค่ะ อิอิ

(อาจจะคล้ายๆ อิซาเบล อูแปร์ ใน เดอะ เปียโน ทีชเชอร์ 555)

Anonymous said...

อ่านเรื่องของคุณ Mds แล้วรู้สึกว่ามีอะไรคล้ายๆตัวเองอย่างหนึ่ง คือ เป็นคนที่ไม่ค่อยได้ไปไหนไกลๆ หรือไม่ค่อยได้เดินทาง ยิ่งช่วงหลังๆ กลายเป็นคนกลัวการเดินทางไปเลย

ชอบหนังเรื่อง BLUE มากๆ เพราะดูจบแล้ว เหงา เศร้า อึ้ง และถาพในตอนจบก็ทำเอารู้สึกอยากจะโดดทะเล