Friday, March 16, 2007

FAVORITE FILMS ABOUT EAST GERMANY

ตอบคุณ x6jo จากที่คุยกันนอกรอบ

จากที่คุยกันนอกรอบเรื่องข่าวใน BIOSCOPE ที่ดิฉันจำไม่ได้ว่ามันอยู่ในเล่มไหนนั้น ตอนนี้ไปค้นมาแล้วปรากฏว่าข่าวนี้อยู่ใน FUSE เล่ม 2 หน้า 12 ค่ะ


ตอบน้อง merveillesxx

ดีใจมากค่ะที่น้องชอบ THE LIVES OF OTHERS ส่วนพี่เองนั้นก็ชอบ HEDWIG มากเช่นกัน แต่ลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับเยอรมันตะวันออกด้วย ถ้าน้องไม่พูดถึงก็คงลืมตรงจุดนี้ไปแล้ว

หนังเกี่ยวกับเยอรมันตะวันออกที่ชอบมาก

1.WORLD MASTER (1994, ZORAN SOLOMUN, A+)

หนังที่เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของเด็กสองคนในยุคหลังกำแพงเบอร์ลินล่มสลาย เด็กชายเป็นลูกของนายทหารรัสเซียที่ถูกส่งมาประจำการในฐานทัพในเยอรมันตะวันออก และขณะนี้กองทัพรัสเซียก็กำลังจะถอนกำลังออกไปหลังเยอรมนีรวมประเทศแล้ว ส่วนเด็กหญิงเป็นชาวเยอรมัน ชีวิตของเด็กทั้งสองหดหู่มาก ฉากจบของหนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในฉากจบที่ประทับใจที่สุด เมื่อเด็กหญิงขึ้นไปแข่งขันเล่นดนตรีบนเวที เธอจะได้เวลาแสดงฝีมือของตัวเองให้ชาวโลกได้ประจักษ์แล้ว แต่เธอกลับนั่งนิ่งๆ ไม่ยอมเล่นดนตรีแต่อย่างใด


2.THE FAREWELL: BERTOLT BRECHT’S LAST SUMMER (2000, JAN SCHUETTE, A+)

หนังเรื่องนี้นำเสนอความเลวร้ายของระบอบการปกครองในเยอรมันตะวันออกเหมือน THE LIVES OF OTHERS แต่ “เร้าอารมณ์” น้อยกว่า หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเวลาเพียง 1 วันเมื่อแบร์โทลท์ เบรคท์พาครอบครัวและเพื่อนๆไปพักผ่อนที่บ้านพักริมทะเลสาบ

สาเหตุที่ทำให้ดิฉันหลงรักหนังเรื่องนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น คือประเด็นปัญหาที่ภรรยาของแบร์โทลท์ เบรคท์ต้องเผชิญในเรื่องนี้ เพราะเธอถูกตำรวจชั่วเยอรมันตะวันออกข่มขู่ว่า ถ้าหากเธอไม่ยอมร่วมมือกับตำรวจในการส่งตัวเพื่อนๆของเธอเข้าคุก ตำรวจก็จะกลั่นแกล้งครอบครัวของเธอให้ได้รับความเดือดร้อนหรืออะไรทำนองนี้

ขณะที่ดูหนังเรื่องนี้ ดิฉันรู้สึกลุ้นอย่างมากๆว่าภรรยาของเบรคท์จะตัดสินใจอย่างไร เพราะเธอมีเวลาตัดสินใจหลายชั่วโมง ถ้าหากเธอเลือกที่จะเป็นคนดี ด้วยการไม่ยอมร่วมมือกับตำรวจ เธอก็จะทำให้ตัวเองและครอบครัวต้องพบกับความทุกข์ทรมาน แต่ถ้าหากเธอเลือกทำชั่วด้วยการร่วมมือกับตำรวจ เธอก็จะมีชีวิตรอด

หนึ่งในหนังที่ดูแล้วร้องไห้ ทั้งๆที่หนังอาจจะไม่ได้จงใจให้คนดูร้องไห้แต่อย่างใด


3.WITTSTOCK, WITTSTOCK (1997, VOLKER KOEPP, A+)


4.OUTSIDE TIME (1995, ANDREAS KLEINERT, A+)
http://www.german-films.de/app/filmarchive/film_view.php?film_id=355
ประวัติ ANDREAS KLEINERT
http://www.german-films.de/en/germanfilmsquaterly/previousissues/seriesgermandirectors/andreaskleinert/index.html

A small town in East Germany after reunification. Everything is changing, the railway station, including the bar, is being closed down, and someday soon the trains won't stop any more. The place and the inhabitants have been left "outside time".

หนังเล่าเรื่องของหญิงสาวในเยอรมันตะวันออกที่ทำงานเป็นพนักงานประจำสถานีรถไฟ แต่หลังจากเยอรมันตะวันออกล่มสลาย เศรษฐกิจในเมืองเล็กหลายเมืองก็ล่มสลายไปด้วย ซึ่งรวมถึงเมืองของเธอ และในเวลาไม่นาน สถานีรถไฟที่เธอทำงานอยู่ ก็จะไม่มีรถไฟแล่นผ่านมาอีก


5.THE FORGIVENESS (1994, ANDREAS HOENTSCH, A+)
http://www.imdb.com/title/tt0145559/
http://www.german-films.de/app/filmarchive/film_view.php?film_id=343

หนังเรื่องนี้นำเสนอความเลวร้ายของรัฐบาลเยอรมันตะวันออกเหมือน THE LIVES OF OTHERS และทำออกมาได้อย่างทรงพลังมากๆ หนังเปิดเรื่องได้อย่างถูกใจดิฉันสุดๆ ด้วยการให้เด็กหญิงหน้าตาน่ารักคนนึงพูดกับผู้ชมว่า “ในค่ำของวันนี้ หนูจะถูกฆ่าตายค่ะ”

เสร็จแล้วหนังก็กลับไปเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น วันนั้นเป็นวันที่เยอรมนีรวมเป็นชาติเดียวกันแล้ว วันนั้นครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่งได้จัดงานเลี้ยงแต่งงานในทุ่งหญ้าเขียวขจี สมาชิกในครอบครัวที่แยกย้ายกันไปอยู่ตามเมืองต่างๆก็ได้มารวมกันในงานเลี้ยงนี้ และการลำเลิกความหลังก็เริ่มต้นขึ้น

สมาชิกในครอบครัวนี้เริ่มพูดคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคที่พวกเขาอยู่ในเยอรมันตะวันออก สมาชิกบางคนในครอบครัวนี้เคยถูกตำรวจจับตัวไปทำร้าย และก็มีการตั้งข้อสงสัยกันว่าต้องมีสมาชิกบางคนในครอบครัวนี้ที่ทรยศคนในครอบครัวด้วยการเป็นสายให้ตำรวจแน่ๆ สมาชิกบางคนในครอบครัวนี้เคยร่วมมือกับตำรวจลับสตาซีด้วยการแพร่งพรายข้อมูลของคนในครอบครัวให้สตาซีรู้ และในวันแต่งงานวันนี้นี่แหละ ที่บุญคุณความแค้นที่ฝังรากลึกอยู่ในจิตใจมานานหลายปีจะได้รับการระบายออกมา วันนี้อาจเป็นโอกาสที่พวกเขาจะได้แก้แค้นกัน หรืออาจเป็นโอกาสที่พวกเขาจะได้ให้อภัยกัน แต่ไม่ว่าพวกเขาจะตัดสินใจอย่างไรก็ตาม ความเจ็บแค้นที่พวกเขาก่อให้แก่กันในอดีต ก็จะส่งผลให้หนูน้อยผู้น่ารักคนหนึ่งในครอบครัวนี้ต้องถูกฆ่าตายในตอนจบอย่างแน่นอน


6.FAREWELL TO AGNES (1994, MICHAEL GWISDEK, A+)
http://www.variety.com/review/VE1117908166.html?categoryid=31&cs=1&p=0

หนังเรื่องนี้เหมาะจะฉายควบกับ THE LIVES OF OTHERS อย่างสุดๆ โดยหนังเรื่องนี้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากเยอรมันตะวันออกล่มสลายไปแล้ว หนังเล่าถึงหนุ่มใหญ่คนหนึ่งที่สูญเสียภรรยาชื่อแอกเนสไป และในวันหนึ่งอยู่ดีๆหนุ่มใหญ่คนนี้ก็ได้พบกับชายหนุ่มหล่อที่อ้างว่าตัวเองเคยเป็นตำรวจลับสตาซีมาก่อน และหนุ่มหล่อคนนี้เคยเป็นผู้ติดตามจดบันทึกพฤติกรรมของหนุ่มใหญ่คนนี้กับแอกเนสด้วย ดังนั้นหนุ่มหล่อคนนี้จึงรู้ข้อมูลทุกอย่างในชีวิตของหนุ่มใหญ่กับภรรยา (เหมือนกับที่พระเอก THE LIVES OF OTHERS ทำกับนักประพันธ์หนุ่มและนักแสดงสาว)

หนุ่มหล่อคนนี้ได้ขอย้ายมาอาศัยอยู่กับหนุ่มใหญ่ และหลังจากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันระยะหนึ่ง หนุ่มหล่อก็เริ่มเอาชุดของแอกเนสมาสวมใส่


7.TRACES OF STONES (1966, FRANK BEYER, A+)
http://www.imdb.com/title/tt0061017/

หนังเรื่องนี้สร้างขึ้นในยุคของเยอรมันตะวันออก ดังนั้นหนังเรื่องนี้จึงไม่สามารถด่าทอรัฐบาลแต่อย่างใด หนังเล่าถึงชีวิตคนงานหนุ่มๆ และสาเหตุที่ดิฉันชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆก็เป็นเพราะพระเอกนั่นเอง เขาไม่หล่อ แต่ว่าตรงสเปค


8.COMING OUT (1989, HEINER CAROW, A+)
http://www.imdb.com/title/tt0097095/
หนังเกย์เยอรมันตะวันออก


9.BORN IN 45 (1965, JUERGEN BOETTCHER, A+)
http://www.imdb.com/title/tt0059325/
หนังที่เล่าถึงชีวิตหนุ่มสาวในเยอรมันตะวันออก


10.THE BORDER GUARD (1995, STEFAN TRAMPE, A+/A)
หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องของชายคนหนึ่งที่มีอาชีพเป็นยามเฝ้าด่านระหว่างเยอรมันตะวันออกกับเยอรมันตะวันตก แต่หลังจากเยอรมันตะวันออกล่มสลาย ชีวิตของชายคนนี้ก็เคว้ง เพราะ “พรมแดน” ไม่ได้มีอยู่อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่มี “อาชีพ” เฝ้าพรมแดนอีกต่อไป

ชายคนนี้ปรับตัวให้เข้ากับชีวิตใหม่ไม่ได้ ดังนั้นในทุกๆวัน เขาจึงมานั่งเฝ้าป้อมร้างต่อไปเรื่อยๆ และทำเหมือนกับว่าชีวิตของเขายังเป็นเหมือนกับในอดีต



11.GO TRABI GO (1991, PETER TIMM, A-)
http://www.imdb.com/title/tt0101960/
ไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้มากนัก แต่เนื่องจากรายชื่อข้างบนมีแต่หนังหดหู่ ก็เลยอยากแทรกหนังเรื่องนี้เข้ามาด้วย หนังเรื่องนี้เล่าถึงชีวิตครอบครัวเปิ่นๆบ้านนอกๆในเยอรมันตะวันออก ที่พอกำแพงเบอร์ลินล่มสลาย พวกเขาก็อยากเดินทางท่องเที่ยวไปต่างประเทศดูบ้าง พวกเขาเป็นตัวตลกประเภทบ้านนอกเข้ากรุง ที่ไม่เคยรู้จักว่าชีวิตในโลกเสรีเป็นอย่างไรบ้าง

จุดที่ทำให้ชอบหนังเรื่องนี้คือฉากที่หญิงสาวในเรื่องต้องการหนุ่มหล่อคนหนึ่ง หญิงสาวคนนี้ระบายอารมณ์ด้วยการเต้นระเบิดเถิดเทิงสุดชีวิต แต่ขณะที่เธอเต้นอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้น หนุ่มหล่อที่เธอหมายปองก็กลับไปก้อร่อก้อติกกับแม่ของเธอแทน ฮ่าๆๆๆ (ดูแล้วสะใจสาวแก่มากๆค่ะ)

ทราบีในชื่อหนังเรื่องนี้เป็นชื่อรถเยอรมันตะวันออกที่ครอบครัวนี้ใช้เดินทางท่องเที่ยวโดยไม่แคร์สายตาชาวบ้าน
http://en.wikipedia.org/wiki/Trabant


ตอบคุณ OLIVER

ดีใจมากๆค่ะที่คุณ OLIVER ชอบ BRIDGE TO TERABITHIA

พูดถึงฮิปปี้แล้ว ก็ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า จุดนึงที่น่าสงสัยใน THE PURSUIT OF HAPPYNESS ก็คือการที่หนังเรื่องนี้ให้ตัวละครที่มีบุคลิกฮิปปี้หลายตัวเป็น “ผู้ร้าย” และ “ผู้ร้ายฮิปปี้” คนนึงในเรื่องนี้ก็พร่ำบ่นว่าเขาอยากย้อนเวลากลับไปยังยุค 1960 อีกครั้ง

จุดนี้ก็เลยทำให้นึกถึงข้อสังเกตที่ว่า THE PURSUIT OF HAPPYNESS เหมือนกับหนังแนววัตถุนิยมหลายเรื่องในทศวรรษ 1980 ซึ่งค่านิยมของยุค RONALD REAGAN ในตอนนั้น คงจะตรงข้ามกับค่านิยมในทศวรรษ 1960 อย่างสิ้นเชิง

พูดถึง THE PURSUIT OF HAPPYNESS แล้ว ก็ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่ารู้สึกขำตัวเองมากๆตอนที่เขียนถึงหนังเรื่องนี้เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน เพราะตอนที่ดิฉันเริ่มต้นลงมือเขียนถึงหนังเรื่องนี้นั้น ดิฉันตั้งใจจะเขียนถึงข้อดีของหนังเรื่องนี้ในความเห็นส่วนตัวของดิฉัน แต่ขณะที่กำลังเขียนอยู่นั้น ดิฉันกลับรู้สึกว่าดิฉันเห็นข้อเสียของหนังเรื่องนี้มากขึ้นๆ และยิ่งพอนำหนังเรื่องนี้ไปเปรียบเทียบกับหนังที่ตัวเองชอบเรื่องอื่นๆ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าตัวเองเห็นข้อเสียของหนังเรื่องนี้มากขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ดี มีฉากนึงที่ประทับใจใน THE PURSUIT OF HAPPYNESS เพราะมันทำให้นึกถึงเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตตัวเอง ฉากนั้นคือฉากที่พระเอกได้ฟังเบอร์โทรศัพท์นัดหมายสมัครงาน แต่เขาไม่มีปากกา ดังนั้นเขาเลยต้องพยายามจำเบอร์นั้นให้ได้ แล้วหลังจากนั้นเขาก็รีบวิ่งไปหาปากกามาจด แต่ดันเจอเพื่อนที่พร่ำพูดถึงตัวเลขหลายตัว จนเกือบทำให้เขาจดจำเบอร์โทรศัพท์ผิดพลาด

ฉากนั้นทำให้นึกถึงเหตุการณ์ “จำเบอร์โทรศัพท์ได้ แล้วชีวิตคุณจะเปลี่ยน” ที่เคยเกิดขึ้นกับเพื่อนดิฉันเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน ตอนนั้นดิฉันมีเพื่อนคนนึงเป็นหนุ่มฝรั่งเศส สมมุติว่าเขาชื่อเอ หนุ่มฝรั่งเศสคนนี้มีสามีเป็นคนไทย สมมุติว่าชื่อบี แต่พอหนุ่มฝรั่งเศสคนนี้ไปเที่ยวกลางคืน เขาก็เจอหนุ่มหล่อชาวไทยคนนึงเข้ามาจีบ สมมุติว่าชื่อซี

แต่เอไม่ได้สนใจซีที่เข้ามาจีบแต่อย่างใด เพราะเอมีสามีอยู่แล้ว ดังนั้นพอซีขอเบอร์โทรศัพท์ของเอ เอก็เลยไม่ได้สนใจจะให้ เอก็เลยพูดเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองอย่างเร็ว และไม่ได้สนใจเลยว่าซีจะฟังทันหรือไม่ โดยในตอนนั้นซีไม่มีกระดาษอะไรให้จดอยู่ในมือด้วย แล้วเอกับซีก็แยกย้ายกันไป

ปรากฏว่าซีคงชอบเอมาก ซีก็เลยจำเบอร์โทรศัพท์ของเอได้ทั้งๆที่ไม่มีกระดาษจดในเวลานั้น และหลังจากนั้นซีก็เริ่มโทรมาคุยกับเอ

แต่หลังจากนั้นไม่นาน เอกับบีก็มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันและหย่าร้างกันไป และในที่สุดซีก็ได้เข้ามาแทนที่บีในที่สุด และในตอนนี้ซีกับเอก็ครองรักกันมานานประมาณราว 8 ปีแล้ว

ถ้าหากในตอนนั้นซีจำเบอร์โทรศัพท์ของเอไม่ได้ ชีวิตของเอกับซีคงจะพลิกผันไปจากเดิมเป็นอย่างมาก พวกเขาคงไม่ได้เป็นคู่รักกันตลอด 8 ปีเหมือนอย่างนี้

--หนังที่นำเสนอเหตุการณ์ที่ตรงข้ามกับเหตุการณ์ข้างต้น คงจะเป็นหนังเรื่อง WINTER’S TALE (ERIC ROHMER, A+) ที่เล่าเรื่องของหญิงสาวคนหนึ่งที่พบรักกับชายหนุ่มขณะพักผ่อนวันหยุด แต่เธอบอกที่อยู่ของเธอผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นพอเขาพยายามส่งจดหมายมาหาเธอ เขาเลยส่งมาไม่ถึง และเธอกับเขาก็ตามหากันไม่เจอ เธอตั้งท้องกับเขา และต้องเลี้ยงลูกตามลำพังมานานหลายปี และเธอก็ยังคงรักเขาอยู่เสมอถึงแม้จะมีชายหนุ่มคนอื่นๆเข้ามาจีบ

หนังเรื่อง WINTER’S TALE เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า การพูดผิดเพียงนิดเดียวทำให้คุณเสียผัวได้ และชีวิตคุณจะต้องพบกับความเศร้าไปโดยตลอดเพราะการพูดผิดเพียงนิดเดียวนี่แหละ


อันนี้เป็นความเห็นของคุณ OLIVER ในเว็บบอร์ด SCREENOUT

เห็นด้วยกับทุกความเห็นของคุณ Mds. เรื่อง BRIDGE TO TERABITHIA จะเรียกว่านี่เป็นหนังเซอร์ไพรซ์เรื่องหนึ่งก็ว่าได้ เพราะตอนดูหนังตัวอย่าง ผมไม่ค่อยอยากดูเท่าไหร่ เพราะคิดว่าคงออกมาอีหรอบเดียวกับนาร์เนีย หรือถ้าจะให้แย่กว่านั้น คือ เอรากอน แต่ปรากฏว่ามันคนละเรื่องกันเลย เป็นหนังที่เล่าถึงความสัมพันธ์ได้อย่างน่าประทับใจมาก บทหนังให้รายละเอียดในส่วนของครอบครัวพระเอกและความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกกับนางเอกได้ดีทีเดียว ผมชอบที่หนังไม่พยายามสร้างให้พ่อของพระเอกเป็นตัวร้าย แต่เขาคือตัวแทนแห่งโลกความจริง ซึ่งพระเอกจำต้องยอมรับ และที่สำคัญ หนังไม่ได้พยายามจะบอกว่าความจนจะต้องเป็นความทุกข์เสมอไป ฉากหนึ่งที่ผมชอบมากๆ ในหนัง เป็นตอนที่ครอบครัวพระเอกเอาเค้กมาฉลองวันเกิดให้พระเอก มันเป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่าถึงความขัดแย้งจะมีอยู่ ถึงพี่สาวสองคนจะไม่ค่อยชอบพระเอกเท่าไหร่ ถึงบ้านพระเอกจะขัดสนเงินทองมากแค่ไหน แต่ทุกคนก็ยังรักกันและสามารถมีความสุขได้ตามอัตภาพ ที่เล่ามาอาจดูเหมือนหนังพยายามบีบเค้น แต่ความจริงฉากนี้ถูกนำเสนอแบบผ่านๆ มากเลย ไม่ได้จงใจอ้อยสร้อยสร้างความรู้สึกประทับใจแต่อย่างใด แปลกตรงที่ผมไม่ค่อยชอบส่วนที่เป็นแฟนตาซีของหนังเท่าไหร่ รู้สึกอยากให้หนังย้อนกลับไปยังชีวิตครอบครัว ชีวิตในโรงเรียนของพระเอกไวๆ แต่ก็เข้าใจจุดมุ่งหมายของการใส่ฉากแฟนตาซีเอาไว้ หนังดัดแปลงมาจากวรรณกรรมเยาวชน ฉะนั้น จึงไม่แปลกที่หนังจะให้ความสำคัญกับ "จินตนาการ" การอ่านหนังสือ และโจมตีโทรทัศน์ น้องเด็กชายที่เล่นเป็นพระเอกแสดงได้ดีมากจริงๆ อย่างที่คุณ Mds. ว่า เขาไม่พยายามแสดงจนเกินไป ดูเป็นธรรมชาติ แต่ก็สร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูได้อย่างยอดเยี่ยม อีกคนที่ชอบ (นอกเหนือจากยัยน้องคนเล็ก ซึ่งขายความน่ารักแบบเด็กๆ ได้อย่างน่าหยิกแก้ม) คือ คุณครูสอนร้องเพลง (ซูอี้ เดสชเนล) โดยเฉพาะตอนเธอปล่อยมุกเด็ด "You Speak" แบบหน้าตาย ซึ่งทำให้ผมนึกถึง พาร์เกอร์ โพซี่ ใน Superman Returns อีกส่วนที่ผมชอบ คือ หนังอาจสร้างให้ครอบครัวนางเอกดูเป็นเหมือนพวกฮิปปี้ มีความสุขกับชีวิต ร่าเริง (เพราะพวกเขาไม่ต้อง คอยนั่งคำนวณว่ามีเงินพอใช้จ่ายซื้อข้าวของหรือเปล่า) แต่หนังไม่ก้าวไปถึงจุดที่ให้พระเอกโหยหาครอบครัวแบบนี้ จริงอยู่ชีวิตประจำวันของเขาเต็มไปด้วยภาระ แต่เขาก็มีความสุขจากการมีพี่น้อง (ถึงแม้ปากจะบอกว่าเขาอยาก แลกพี่น้องกับหมาสักตัวก็ตาม) ฉากที่เขาเล่นรถไฟที่พ่อซื้อให้วันเกิดช่วยทำให้เรารู้สึกว่าสุดท้ายแล้วพระเอกก็ยังรักครอบครัว และพ่อของเขาก็รักเขามากพอจะเจียดเงินมาซื้อของขวัญวันเกิดให้เขา หนังอาจให้ความสำคัญกับจินตนาการ แต่มันก็ไม่ได้ดูถูกโลกแห่งความจริง และสอนให้เรารู้จักเผชิญหน้ากับมันแทนที่จะหลบหนีมัน สรุปแล้ว ผมขอมอบรางวัล The Most Misleading Trailer ให้กับหนังเรื่องนี้ โดยผู้ชนะในปีก่อน คือ The Break-Up

No comments: