Wednesday, August 29, 2007

THE PARABOLIC DISH (2007, XAVI SALA, A+)

THIS IS MY COMMENT IN BIOSCOPE WEBBOARD
http://www.bioscopemagazine.com/smf/index.php?topic=492.120

ตอบน้อง merveillesxx

รู้สีกดีที่ตัวเองได้ดู THE PARABOLIC DISH (2007, Xavi Sala, A+) อีกรอบ เพราะรอบแรกไม่ได้สังเกตว่าภาพที่ขึ้นมาในจอทีวีหลายๆภาพมีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสนาเป็นส่วนใหญ่ อย่างเช่นภาพแม่ชีทำมาสเตอร์เบชั่น, SOUTH PARK ตอนล้อเลียนบาทหลวง, I will survive เวอร์ชันศาสนา, เหตุการณ์ 9/11, ฮิตเลอร์ ซึ่งฆ่าคนนับถือศาสนายิว ภาพหลายๆภาพที่ขึ้นมาในจอทีวีมันให้ภาพของสถาบันศาสนาที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากภาพโป๊ปที่ครองจอทีวีในหมู่บ้านแห่งนี้ในตอนแรก

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า THE PARABOLIC DISH มีความหมายอะไรกันแน่ แต่คิดว่าสิ่งที่น่าสนใจในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็รวมถึง

1.การที่อยู่ดีๆเสาอากาศก็รับภาพได้ เหมือนกับเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง แต่ปาฏิหาริย์นี้เกิดจากสัตว์ปีก (ไม่แน่ใจว่าเป็นตัวอะไรกันแน่) ไปโดนเสาเข้า ซึ่งจุดนี้ทำให้นึกถึงหนังของ LUIS BUNUEL ที่ชอบมีเป็ดไก่มาเดินเพ่นพ่านปรากฏตัวตามห้องนอนหรือร้านอาหารโดยไม่ได้รับเชิญ

2.ตอนที่พระเอกไปค้นหาคู่มือการติดตั้งเสาอากาศที่ห้องใต้หลังคา มีแสงส่องผ่านหน้าต่างห้องใต้หลังคาลงมา และการจัดแสงในฉากนั้นทำให้นึกถึงภาพเชิงศาสนายังไงไม่รู้

3.การที่หนังเรื่องนี้เกิดขึ้นในสเปน ซึ่งเป็นดินแดนที่เคยถูกศาสนาครอบงำอย่างรุนแรงในยุคกลาง และสเปนก็เพิ่งพบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งเมื่อเร็วๆนี้เมื่อเกิดเหตุการณ์ระเบิดรถไฟสเปนในช่วงต้นปี 2004 จนส่งผลให้พรรครัฐบาลในยุคนั้นต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งและพรรค PSOE ได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล และพรรคนี้ก็ออกกฎหมายที่ท้าทายสถาบันศาสนาอย่างเช่นการให้เกย์แต่งงานกันได้ คือจริงๆแล้วประเด็นนี้อาจจะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับหนัง THE PARABOLIC DISH นะ แต่ว่าเราดูหนังเรื่องนี้แล้วเราก็คิดเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆจนมาถึงประเด็นนี้


ตอบคุณ TAXI_ARNON

--สำหรับเรื่องวิธีการจำหนังนั้น ส่วนใหญ่แล้วเวลาที่ดิฉันดูหนังสั้นแต่ละรอบจบ ดิฉันจะรีบจดเกรดความชอบลงไปในหนังสือหรือกระดาษทันทีค่ะ ไม่เช่นนั้นจะลืมว่าชอบหนังเรื่องไหนในระดับมากเท่าไหร่ และถ้าหากมีเวลา ดิฉันขอแนะนำว่าก่อนจะเข้านอนในคืนนั้น ให้นึกทบทวนถึงหนังสั้นที่ตัวเองเพิ่งดูมาในวันนั้นอีกรอบเพื่อย้ำใส่สมองตัวเองว่าหนังสั้นเรื่องนี้มันมีเนื้อเรื่องอย่างนี้ๆนะ แต่อันนี้เป็นข้อแนะนำนะคะ ไม่ใช่สิ่งที่ดิฉันปฏิบัติจริงๆเป็นกิจวัตร เพราะดิฉันเองก็แทบไม่เคยมีเวลาปฏิบัติตามข้อแนะนำนี้เหมือนกัน กลับถึงบ้านแล้วก็นอนสลบไปในทันที

ที่ดิฉันแนะนำอย่างนี้ ก็เพราะว่าเวลาที่ดิฉันไปดูหนังสั้นในรอบมาราธอนของแต่ละปี มักจะมีปัญหาว่า ตื่นนอนตอนเช้าขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็จะพบว่าตัวเองลืมเนื้อหาของหนังสั้นที่เพิ่งดูไปเมื่อวานมาแล้วอย่างน้อย 1 เรื่อง และก็ไม่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับหนังสั้นเรื่องนั้นๆใน INTERNET ได้ด้วย ดิฉันต้องรอจนกว่าสูจิบัตรงานหนังสั้นออก แล้วก็ดูรูปกับเรื่องย่อในสูจิบัตรนั้น ถึงค่อยจดจำได้อีกทีว่าหนังสั้นที่ตัวเองดูไปในรอบมาราธอนแล้วลืมไปในช่วงข้ามคืนมันคือเรื่องอะไรกันแน่

อีกวิธีนึงที่ช่วยในการจดจำหนังเรื่องต่างๆได้ดีก็คือการคุยกับเพื่อนๆเกี่ยวกับหนังที่ตัวเองได้ดูมา ดิฉันพบว่าถ้าหากดิฉันได้คุยกับเพื่อนๆถึงหนังเรื่องไหน มันจะช่วยในการจดจำจุดเด่นของหนังเรื่องนั้นๆได้ดีมาก เพราะเรามักจะจำได้ดีว่าเพื่อนเคยพูดกับเราว่ายังไงและเราเคยพูดกับเพื่อนว่ายังไงบ้าง

--สำหรับเรื่องการเป็น beta screener นั้น ดิฉันต้องขอกราบขอบพระคุณคุณ TAXI_ARNON เป็นอย่างมากค่ะที่จะให้โอกาสดิฉัน แต่ดิฉันคงต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งนะคะที่คิดว่าคงไม่สะดวกทำหน้าที่นี้ในตอนนี้ หวังว่าคุณ TAXI_ARNON คงไม่ว่าอะไรดิฉันนะคะ

--เห็นคุณ TAXI_ARNON เขียนว่า “ผมว่าผมเริ่มเก็ตหนังของนัฐแล้วล่ะ ดูเรื่องนี้แล้วรักหนังเรื่องอื่นๆของเขาขึ้นอีกเป็นกอง”


ก็เลยทำให้นึกขึ้นมาได้ว่าคุณ NUTTORN KUNGWANKLAI กำกับหนังเยอะมาก แต่ดิฉันได้ดูหนังของเขาน้อยมาก อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่ประทับใจดิฉันจาก THE DUCK EMPIRE STRIKES BACK ก็คือฉาก “ผู้ก่อการ” ที่เป็นภาพเด็กผู้หญิงน่ารักๆโผล่มาแว้บนึง (ถ้าดิฉันจำไม่ผิด) คือดิฉันรู้สึกว่าภาพเด็กผู้หญิงที่โผล่มาแว้บนึงนี่แหละ มันคือลายเซ็นของเขา คือถ้าหากให้นักดูหนังสั้นคนไหนมาดู THE DUCK EMPIRE STRIKES BACK แต่ไม่บอกว่าใครเป็นคนกำกับหนังเรื่องนี้ นักดูหนังสั้นส่วนใหญ่ก็น่าจะเดาได้ในทันทีว่าใครเป็นคนกำกับหนังเรื่องนี้ตอนมีภาพเด็กผู้หญิงน่ารักๆโผล่ออกมา

จริงๆแล้วดิฉันได้ดูหนังสั้นของคุณ NUTTORN น้อยมากๆ ถ้าหากดิฉันเข้าใจอะไรผิดก็ต้องกราบขออภัยด้วยนะคะ แต่ดิฉันเดาเอาจากหนังที่ได้ดูเพียงแค่ไม่กี่เรื่องนี่แหละว่า บางทีจุดเด่นในหนังของเขาอาจจะเป็นอารมณ์น่ารักๆ, เด็กน่ารักๆ และตัวละครที่มีจิตใจดีงามเป็นส่วนใหญ่

การได้ดูหนังสั้นในโปรแกรม THE SPOKEN SILENCE โดยเฉพาะ THE DUCK EMPIRE STRIKES BACK ทำให้ดิฉันเกิดสงสัยขึ้นมาว่า จริงๆแล้วในวงการหนังอิสระของไทยก็อาจจะมี “ผู้กำกับที่มีแนวทางภาพยนตร์โดดเด่นเฉพาะเป็นของตนเอง” หลายคนก็ได้นะ ดิฉันขอเรียกสั้นๆเพื่อความสะดวกของตัวเองในที่นี้ว่าผู้กำกับกลุ่มนี้เป็น AUTEUR แล้วกันนะคะ จริงๆแล้วดิฉันก็ไม่แน่ใจหรอกว่า AUTEUR แปลว่าอะไร บางทีดิฉันอาจจะเข้าใจคำว่า AUTEUR ผิดไปจากความเป็นจริงก็ได้ แต่ขอให้ผู้อ่านเข้าใจก็แล้วกันว่าดิฉันใช้คำว่า AUTEUR ในความหมายที่ดิฉันกำหนดขึ้นมาเองอย่างไรในที่นี้

No comments: