Sunday, October 07, 2007

PENGUIN (2007, Nawapol Thamrongrattanarit, A+)

THIS IS MY COMMENT IN BIOSCOPE WEBBOARD:
http://www.bioscopemagazine.com/smf/index.php?topic=593.0

ความรู้สึกส่วนตัวที่มีต่อ PENGUIN (2007, Nawapol Thamrongrattanarit, A+)

--ยังได้ดูหนังของนวพลไม่ครบ แต่ก็ชอบเรื่องนี้มากที่สุดเท่าที่ได้ดูมานะ รู้สึกเพลิดเพลินกับมันมากๆ ดูแล้วนึกว่าหนังสั้นแค่ 4 นาที ตอนที่เครดิตท้ายเรื่องขึ้นมาน่ะ เรานึกว่ามันเป็น “เครดิตกลางเรื่อง” แบบหนังเรื่อง “สุดเสน่หา” เสียอีก คือเรารู้สึกว่าเราได้ดูหนังแค่แป๊บเดียว มันจะเป็น 40 นาทีไปได้ยังไง มันต้องเป็นแค่ 20 นาทีแน่นอน แล้วมันต้องมีหนังต่อไปอีก 20 นาทีแน่ๆ

แต่สาเหตุหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันสั้นแค่ 4 นาทีอาจจะเป็นเพราะว่าเราได้ที่นั่งสบายๆ ถ้าหากเราต้องนั่งกับพื้น เราคงต้องเปลี่ยนท่านั่งหลายครั้งเพื่อกันขาเป็นเหน็บ และการเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยครั้งอาจจะทำให้รู้สึกว่าหนังมันนานยิ่งขึ้น

--เราไม่สนใจหรอกนะว่าผู้กำกับหนังเรื่องไหนต้องการสื่ออะไร เราสนใจแค่ว่าหนังเรื่องนั้นมันให้ความบันเทิงกับเรามากแค่ไหน และ PENGUIN ก็ให้ความบันเทิงกับเรามากพอสมควร

สิ่งที่ชอบในหนังเรื่องนี้

1.การถ่ายภาพระยะไกลมากๆตลอดทั้งเรื่อง โดยไม่ได้โคลสอัพใบหน้าตัวละครเลย แต่ก็สามารถเล่าเรื่องได้อย่างสนุกสนานมากๆ และคนดูก็เข้าใจอารมณ์ของตัวละครได้อย่างมากๆ โดยไม่ต้องเห็นหน้าตัวละคร

2.แต่หนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้พึ่งพาวิธีการเล่าแบบละครวิทยุเพียงอย่างเดียว เพราะภาพในหนังให้อารมณ์ที่บรรเจิดมากๆ โดยเฉพาะช่วงนึงที่ถ่ายฟ้าแลบ หรือช่วงที่ถ่ายทิวไม้กับท้องฟ้าเป็นเวลานานๆโดยไม่เห็นคนเลย เรารู้สึกว่าเราดูภาพแบบนี้แล้วมันเพลินดีน่ะ

3.เรารู้สึกอินกับสถานการณ์ในเรื่องมากพอสมควรนะ และการที่หนังไม่ได้บอกอะไรมาก มันก็เปิดโอกาสให้เราเก็บเอาบางส่วนในหนังมาจินตนาการต่อได้เอง คือหนังบางเรื่องถ้ามันให้รายละเอียดมากเกินไป ให้ตัวละครมีที่มาที่ไปมากเกินไป เราจะไม่สามารถนำส่วนต่างๆในหนังเรื่องนั้นมาจินตนาการต่อเองได้น่ะ แต่หนังเรื่องนี้มันกระตุ้นให้เราสร้างจินตนาการต่อได้อย่างสนุกสนานมากๆ

4.เราจินตนาการว่า ถ้าสองคนนี้มันนอนอยู่กับบ้านเฉยๆ มันก็คงจะมีความสุขไปแล้ว ไม่รู้มันจะสร้างความลำบากให้กับตัวเองด้วยการออกมาดูอะไรที่ไม่มีความจำเป็นกับชีวิตไปทำไม

ที่เราคิดอันนี้ขึ้นมาเพราะเราเป็นคนที่อยากออกไปดูอะไรมากมายน่ะ บางทีออกไปดูสิ่งที่ต้องการแล้วก็ต้องเจออุปสรรคมากมาย อย่างเช่นฝนตก หรือเสียตังค์แพงๆ ทั้งๆที่จริงๆแล้วเรานอนเล่นตุ๊กตาอยู่ที่บ้านเราก็มีความสุขพอแล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องออกไปไหนเลย

5.เราอินกับการทะเลาะกันของตัวละครในเรื่องมากนะ และมันก็ทำให้เราจินตนาการต่อไปว่า ถ้าหากเราตกอยู่ในสถานการณ์นั้น เราจะทำยังไง แล้วเราก็จะคิดว่าเราคงจะบอกคนที่บ่นว่า “หยุดพูด ฉันไม่อยากฟัง” แต่ถ้าคนที่บ่น “เลือกที่จะไม่หยุดพูด” เราก็จะ “เลือกที่จะไม่ฟัง” เราก็จะวิ่งหนีคนที่บ่นไปเลย และวิ่งออกจากชีวิตของคนๆนั้นไปเลยด้วย เพราะเราขอเลือกที่จะไม่ฟังคนๆนั้นอีกต่อไปตลอดชีวิต เราคิดว่าถ้าหากเราตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น เราขอเลือกไปเสี่ยงตายในความมืดคนเดียวดีกว่า ถ้าหากการที่เราวิ่งหนีเข้าความมืดไปคนเดียวจะทำให้เราถูกฆาตกรโรคจิตในสวนฆ่าตาย (ดิฉันชอบจินตนาการว่าตัวเองอยู่ในหนังแนว HORROR ค่ะ) เราก็ยินดีถูกฆ่าตายนะ แต่ที่แน่ๆก็คือเราขอ “เลือกที่จะไม่ฟัง” มันบ่นอีกต่อไป ส่วนคนบ่นมันจะเป็นอันตรายอะไรหรือไม่ เราก็ไม่แคร์ เพราะมันเลือกเองที่จะบ่น

6.เราว่าหนังเรื่อง PENGUIN แปลกดีนะตรงที่มันมีความเป็นหนังเน้นบรรยากาศกับฉากตัวละครทะเลาะกันแบบกึ่งขำกึ่งเครียดผสมอยู่ในหนังเรื่องเดียวกัน เพราะเราไม่เคยเจอหนังแบบนี้มาก่อนน่ะ หรือเคยเจอแล้วแต่นึกไม่ออกก็ไม่รู้ ส่วนใหญ่เราจะเจอแต่หนังที่เน้นบรรยากาศไปเลยมากกว่า แต่ไม่เคยเจอส่วนผสมแบบในหนังเรื่อง PENGUIN มาก่อน

ถ้าหากนวพลจะทำหนังเรื่องนี้เป็นดีวีดีออกขาย เราขอแนะนำให้ทำ SPECIAL FEATURES เป็นของแถมในดีวีดีเช่น

1.หนังสั้นเรื่อง CHICKEN SMILE (2005, Tossapol Boonsinsukh, 14 min, A+)

ไม่รู้มีใครได้ดูหนังเรื่องนี้แล้วจำรายละเอียดได้บ้างหรือเปล่า เพราะเราได้ดูเพียงแค่รอบเดียวเมื่อ 2 ปีก่อน และจำเนื้อหาในหนังไม่ได้แล้ว แต่เรารู้สึกว่า CHICKEN SMILE มันเข้ากับ PENGUIN มากๆ เพราะถ้าเราจำไม่ผิด CHICKEN SMILE จะถ่ายภาพจากระยะไกลมากเกือบตลอดทั้งเรื่อง โดยเป็นภาพท้องทุ่ง แล้วมีชายคนหนึ่งนั่งอยู่กลางทุ่งในระยะไกล และก็มีตัวละครสองคนเดินมาในระยะไกล มาถามชายคนนั้นว่าจะไปดู “ไก่ยิ้มได้” ไปทางไหน แล้วก็คุยกัน แล้วก็เดินออกจากเฟรมภาพไป แล้วก็จะมีภาพเดิมกลับมาอีก ตัวละครสองคนเดินมาคุยกับชายกลางทุ่งอีก แต่บทสนทนาจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วก็จะมีฉากเดินมาคุยกลางทุ่งแบบนี้อีกเรื่อยๆ แต่บทสนทนาก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ (เราเดาว่าเราต้องจำอะไรบางอย่างในหนังเรื่องนี้ผิดแน่เลย)

2.เนื่องจากน้องนาโนกายบอกว่ามี hia อยู่ในสวนลุม เราก็เลยจินตนาการว่า ควรทำหนังสั้นกึ่งสารคดีเป็นของแถมในดีวีดี โดยหนังสั้นเรื่องนี้มีชื่อว่า PENGUIN HIA และให้ตัวละครสองคนไปถามคนต่างๆในสวนลุมว่า “จะไปดู hia ต้องไปทางไหนคะ” และก็บันทึกภาพปฏิกิริยาของคนในสวนลุมว่าจะตอบคำถามนี้ว่าอย่างไรบ้าง และก็มีฉากที่ตัวละครสองคนออกมาตะโกนกลางที่โล่งๆในสวนลุมว่า “hiaaaaaaaaaa hiaaaaaaaaa”

(จริงๆแล้วเราสงสารตัว hia มากๆเลยนะ มันเป็นสัตว์ที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ แต่มนุษย์เราก็ไปอุปโลกน์มันว่ามันเป็นตัวซวย ทั้งๆที่มันไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแม้แต่น้อย)



No comments: