Tuesday, November 19, 2013

STAGE PLAYS SEEN IN BANGKOK THEATRE FESTIVAL 2013

 
STAGE PLAYS SEEN IN BANGKOK THEATRE FESTIVAL 2013
 
1.A MURDER IN THE PAST (Nikorn Saetang, A+30)
อดีตสังหาร
 
รุนแรงมาก จุดนึงที่เราชอบมากในละครเรื่องนี้ ก็คือว่าถึงแม้ทัศนคติของผู้สร้างละครจะไม่ตรงกับเรา แต่เราไม่รู้สึกว่าเขาพยายามยัดเยียดทัศนคตินั้นให้กับเราน่ะ เรารู้สึกว่าเขาแสดงทัศนคติของเขาออกมาในช่วงท้ายผ่านทางการให้ตัวละครพูดคุยกันเอง โดยไม่ได้พยายามเน้นย้ำมันมากนัก เราก็เลยไมได้รู้สึกว่าเขาพยายามบีบบังคับให้เรามีความเห็นคล้อยตามเขาแต่อย่างใด คือมันเป็นวิธีการที่ตรงกันข้ามกับหนังอเมริกันช่วงทศวรรษ 1990 น่ะ ที่ในช่วงท้ายเรื่องผู้สร้างหนังมักจะให้ตัวละครพระเอกนางเอกกล่าว speech อย่างยิ่งใหญ่ต่อหน้าตัวละครคนอื่นๆ เพื่อสั่งสอนผู้ชม
 
เราก็เลยชอบละครเรื่องนี้อย่างสุดๆ คือทัศนคติของผู้สร้างจะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ เราก็ไม่รู้สึกว่าเขาพยายามยัดเยียดหรือบีบบังคับให้เราคล้อยตามเขา หรือพยายามสั่งสอนอะไรเรา เราเลือกได้เองว่าเราจะคล้อยตามความเห็นของตัวละครบางคนในช่วงท้ายเรื่องหรือไม่ก็ได้
 
2.ON THE TIGHTROPE (Jitti Chompee, A+30)
 
ดูแล้วนึกถึงหนังบางเรื่องของ Derek Jarman กับ Etant Donnes ในแง่ที่ว่า เราดูไม่รู้เรื่องเลย แต่เราเพลิดเพลินกับมันมากๆ และชอบความโฮโมอีโรติกของมันมากๆ
 
ดู ON THE TIGHTROPE แล้วทำให้เรารู้สึกอีกด้วยว่า จริงๆแล้วท่าการแสดงโขนบางท่าของเรา พอเอามาดัดแปลงสักเล็กน้อย มันจะกลายเป็นท่าเต้น Vogue ได้ 55555
 
3.M. ANTOINE ทำอย่างไรให้โง่ (Ben Busarakamwong, A+25)
 
สิ่งที่ชอบมากๆในละครเรื่องนี้ ก็คือการที่เราได้ประจักษ์ถึงศักยภาพทางการแสดงอย่างเต็มที่ของคุณศิรเมศร์ อัครภากุลเศรษฐ์ กับคุณลัดดา คงเดช คือเราไม่ได้รู้สึกอินอะไรกับเนื้อหาของเรื่อง แต่เราเพลิดเพลินกับการแสดงของนักแสดงสองคนนี้อย่างรุนแรงมาก และการแสดงของคุณสุกัญญา เพี้ยนศรีที่ออกมาแค่ฉากเดียวก็เป็นสิ่งที่เราชอบมากๆด้วย
 
ชอบวิธีการนำเสนอเนื้อหาในบางฉากด้วย มันมีฉากนึงที่ตัวพระเอกเจอกับคนที่สอนพระเอกเรื่องการหาเงินหรือการสร้างความร่ำรวยให้กับตัวเอง ซึ่งเนื้อหาตรงส่วนนี้ถ้านำเสนอออกมาไม่ดีมันจะดู cliche มากๆ หรือดูน่าเบื่อมากๆ แต่ปรากฏว่าละครเรื่องนี้หาวิธีการนำเสนอที่ออกมาดูเพลิดเพลินมากๆได้
 
ส่วนสาเหตุที่เราไม่ได้ชอบละครเรื่องนี้ในระดับ A+30 (หรือ “ชอบสุดๆ”) อาจจะมีสาเหตุส่วนนึงเป็นเพราะว่าตอนจบของเรื่องมันให้อารมณ์แผ่วๆสำหรับเราน่ะ เรื่องแบบนี้อาจจะเป็นเพราะรสนิยมส่วนตัวของเราด้วยเหมือนกัน คือเรามักจะชอบหนังที่จบลงด้วยการที่ตัวละครฆ่าตัวตาย มากกว่าหนังที่จบลงแบบ happy ending น่ะ
 
แต่มันก็ไม่เสมอไปนะ ละครเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงหนังเรื่องนึงที่เราชอบสุดๆเหมือนกัน ซึ่งก็คือเรื่อง BLUE NOTES (2006, Bill Mousoulis, Australia, A+30) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับตัวละครหลายๆคนที่ใช้ชีวิตอย่างหดหู่ เงียบเหงา ตัวละครบางคนลงเอยด้วยการฆ่าตัวตาย แต่มันจะมีตัวละครชายหนุ่มเหงาๆคนนึงที่ในที่สุดก็สามารถหาที่ทางที่เหมาะสมสำหรับตัวเองได้ และตอนจบของหนังเรื่องนี้ให้ความรู้สึกแบบ uplifting มากๆ พอเราดู “M.ANTOINE ทำอย่างไรให้โง่” เราก็เลยนึกถึง BLUE NOTES แต่ตอนจบของ M. ANTOINE มันไม่ได้ uplifting มากเท่า BLUE NOTES จ้ะ
 
4.THE NATURE OF CROWS (Teerawat Mulvilai, A+25)
 
ขลังมาก ชอบชุดบางชุดที่ตัวละครหญิงใส่มากๆด้วย
 
5.NIGHT LOVE (Peerapat Jiaprasert + Tanapon Akkawatanyoo, A+20)
คืนรัก (พีรพัฒน์ เจียประเสริฐ + ธนพนธ์ อัคควทัญญู)
 
ชอบมากๆ ชอบการแสดง+จังหวะแบบอาร์ทนิ่งช้าในเรื่องนี้มากๆ มันทำให้เรานึกถึงหนังอินดี้ของมาเลเซียในทศวรรษที่แล้ว พวกหนังอย่าง BEFORE WE FALL IN LOVE AGAIN (2006, James Lee, A+25) และหนังของนักศึกษาธรรมศาสตร์อย่างเช่นเรื่อง STILL (2008, Wisarut Deelorm, 52min, A+30) และ THERE (2008, Rajjakorn Potito, 65min, A+30) คือจังหวะนิ่งช้าแบบในละครเวทีเรื่องนี้เป็นจังหวะที่เราอาจจะเจอบ่อยในหนังอาร์ท แต่ไม่ค่อยเจอในละครเวที
 
ชอบการแสดงของพระเอกในเรื่องนี้ และก็ชอบฉากการพิมพ์ดีดแทนการร่วมรักในหนังเรื่องนี้ด้วย มันเป็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน และมันก็ออกมาได้อารมณ์มากๆ
 
6.THE LAST SCHOMBURGK’S DEER (Saifah Tanthana, A+20)
สมันตัวสุดท้าย
 
ความสัมพันธ์ของพระเอกนางเอกในเรื่องนี้ประหลาดดี มันดูเหมือนเป็นทั้งคนรักกันและคู่แข่งกัน มันดูเหมือนเป็นผู้หญิงผู้ชายที่ไม่เป็นมิตรกันเท่าไหร่นัก แต่ก็มีความต้องการทางเพศซึ่งกันและกัน ทั้งสองก็เลยเหมือนเล่นเกมเอาเถิดเจ้าล่ออะไรบางอย่างกันตลอดเวลา
 
ชอบฉากเต้นระบำประกอบเพลงในเรื่องนี้, ชอบการที่นางเอกเล่าเรื่องการฆ่าหมา, ชอบการพูดถึงสมัน+ผีเสื้อ+หมา ในเรื่องนี้ เราว่ามันกระตุ้นความคิดดี ถึงแม้เราอาจจะไม่เข้าใจความหมายลึกๆของมันก็ตาม
 
7. LIKE TEETH & TONGUE (Sineenadh Keitprapai, A+20)
ลิ้นกับฟันโปรเจคท์
 
ชอบที่ละครเรื่องนี้เหมือนจะเล่าเรื่องที่อาจจะดูเฝือมากๆ นั่นก็คือความสัมพันธ์ชายหญิง แต่วิธีการนำเสนอมันดูน่าสนใจมากๆ
 
อย่างไรก็ดี ถึงแม้เราจะรู้สึกว่าการแสดงในเรื่องนี้มันน่าสนใจมากๆ แต่มันก็ไม่ได้ติดตาตรึงใจเราอย่างรุนแรงตลอดทุกช่วงเวลา เรารู้สึกว่าเราหลุดความสนใจออกไปจากการแสดงในบางช่วง แต่พอเราได้ฟังการให้สัมภาษณ์ในช่วงหลังการแสดง เราก็เลยเข้าใจว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะเวที+ที่นั่งคนดูมันกว้างเกินไปก็ได้มั้ง คือถ้าหากการแสดงนี้จัดแสดงในห้องของพระจันทร์เสี้ยวที่สถาบันปรีดี มันอาจจะตรึงความสนใจของเราได้อย่างรุนแรงมากกว่านี้
 
8.THE LAST GASP OF A MOURNFUL HEART (Nana Dakin + Vidura Amranand, A+15)
 
ชอบฉาก+การจัดแสงของละครเรื่องนี้มากๆ ผู้สร้างละครเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ฉากของละครเรื่องนี้มันทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองอยู่ในโลกของ music box น่ะ มันดูหลอนๆสวยๆประหลาดๆดี เราก็เลยชอบ set decoration + lighting ในเรื่องนี้มากๆ
 
นักแสดงทุกคนเล่นดีมาก แต่เราประทับใจกับการแสดงของคุณกิตติพร อุดมรัตนกูลชัยมากเป็นพิเศษ เพราะมันดูเหมือนมีออร่าหรือรัศมีบางอย่างออกมาจากตัวเธอในละครเรื่องนี้
 
9.KNOWING THYSELF (Saowakon Muangkruan, A+15)
รู้ตน (เสาวคล ม่วงครวญ)
 
ประหลาดดี ไม่เคยเจอการแสดงแบบนี้มาก่อน ที่เป็นการเล่นดนตรีที่เป็นมากกว่าการเล่นดนตรี ก็เลยชอบความประหลาดตรงจุดนี้ เนื้อหาของการแสดงก็กระตุ้นความคิดดีเหมือนกัน
 
10.EVENING PRIMROSE BLOSSOM FOR THE MOON (Sakuma Komura, A+5)
 
ตอนช่วงแรกๆจูนไม่ติดกับละครเวทีเรื่องนี้เลย มันเล่าเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ไม่สามารถเข้าใจได้ แต่พอเข้าช่วงหลังที่เป็นการฆ่ากันในสงครามกับช่วงอาหรับ ก็จะพอตามเนื้อเรื่องได้ทัน และจูนติดกับมันได้มากขึ้น
 
แต่การที่เราจูนไม่ติดกับมัน เป็นสิ่งที่เราค่อนข้างชอบนะ เพราะมันแสดงให้เห็นว่าการแสดงนี้เป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับเรา เราไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน เราก็เลยไม่รู้ว่าควรจูนอารมณ์ยังไงให้เข้ากับมันในช่วงแรก
 
11.TRAP (Manop Meejamras, A+)
 
เพิ่งรู้จากละครเรื่องนี้ว่า “มโนราห์” เป็น “นางเมรี” กลับชาติมาเกิด เราว่าการแสดงนี้ดูเพลินดี แต่ไม่ได้กระทบอะไรเรามากนัก
 
 
12.WHERE IS SONGPOL? (Nasree Labaideeman, A+/A)
ทรงพลอยู่ไหน?
 
สงสัยว่าละครเรื่องนี้เป็นละครการเมืองหรือเปล่า 55555
 
ชอบตัวละครผู้หญิงสองคนในเรื่องนี้มากๆ มันเป็นตัวละครที่แรงดี
 
ตอนแรกนึกว่าละครเรื่องนี้จะออกมาแอบเสิร์ดแบบหนังเรื่อง NURSE ROOM (2012, A+30) ที่กำกับโดยคุณนัสรีเหมือนกัน แต่ปรากฏว่ามันไม่แอบเสิร์ดมากเท่าที่คาด
 
13.DRAMATISTS MUST DIE
 
14.IS THIS JUST A CHANGE? (Taweevat Kumneardpetch, B )
ก็แค่เปลี่ยนไปหรือ
 
ชอบการแสดง,การร้องเพลงในเรื่องนี้ แต่ทัศนคติของละครไม่ตรงกับเรา เราก็เลยไม่ชอบมันมากนัก สรุปว่าเป็นเพราะเรื่องทัศนคติล้วนๆจ้ะ แต่เราไม่มีปัญหากับองค์ประกอบอื่นๆของละครเรื่องนี้แต่อย่างใด
 

No comments: