Monday, September 29, 2014

CHAO-CHAINOI: THE INCOMPLETED VERSION (2004, Wuttin Chansataboot, A+5)


CHAO-CHAINOI: THE INCOMPLETED VERSION (2004, Wuttin Chansataboot, A+5)

เราเคยดูหนังเรื่องนี้ไปแล้วครั้งนึงในปี 2004 แล้วตอนนั้นให้เกรด B- แล้วเราก็ลืมไปแล้วว่าเราเคยดูหนังเรื่องนี้ พอมาดูอีกครั้งหลังจากเวลาผ่านไปสิบปี เราก็พบว่าเราชอบมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลย แต่ก็ยอมรับว่ามันไม่ใช่หนังในแบบที่เราชอบอยู่ดี คือถ้าเปรียบเทียบง่ายๆก็คือว่า มันเหมือนกับว่าเราชอบเพลง house น่ะ แต่หนังเรื่องนี้ทำออกมาเป็นเพลง rap เพราะฉะนั้นถึงมันจะเป็นเพลง rap ที่ดี แต่เนื่องจากเราไม่ชอบเพลง rap เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เราก็เลยไม่ได้มีความสุขกับหนังเรื่องนี้มากนัก ถึงแม้มันอาจจะเป็นหนังที่ดีก็ตาม

ความรู้สึกที่มีต่อหนังเรื่องนี้

1.สาเหตุที่ชอบมากขึ้น มันเป็นเพราะว่าเราหาทางจูนตัวเองใหม่ในการดูหนังเรื่องนี้น่ะ คือตอนแรกที่เราดูหนังเรื่องนี้ เราดูไม่รู้เรื่องเลย และเราก็พยายามจะดูให้มันรู้เรื่อง มันก็เลยเกิดอาการอารมณ์เสียขึ้น แต่พอมาดูใหม่ในรอบนี้ เราก็ล้มเลิกความพยายามที่จะดูให้รู้เรื่อง หรือความพยายามที่จะปะติดปะต่อเรื่องราวในหนังเรื่องนี้ซะ และหันมา enjoy ไปกับความบ้าๆบอๆของหนังแทน มันก็เลยทำให้ดูอย่างมีความสุขมากขึ้น

2.เราสงสัยว่าการที่เราไม่ได้ enjoy หนังเรื่องนี้มากนัก อาจจะเป็นเพราะความต่างทางวัฒนธรรมด้วยมั้ง คือเราแอบเดาว่า คนที่สามารถจูนตัวเองให้เข้ากับหนังเรื่องนี้ได้ง่ายๆ อาจจะเป็นคนที่เล่นวิดีโอเกม, คนที่ชอบสไตล์ภาพแบบในหนังเรื่องนี้, คนที่ชอบสไตล์ดนตรีแบบในหนังเรื่องนี้ หรือคนที่มีเพื่อนผู้ชายห่ามๆแบบในหนังเรื่องนี้ แต่เราไม่ได้เล่นวิดีโอเกมและไม่ได้มีคุณลักษณะแบบอื่นๆที่ว่ามา มันก็เลยเกิดอาการไม่สามารถจูนตัวเองให้เข้ากับหนังเรื่องนี้ได้อย่างเต็มที่

3.แต่เราก็นับถือความบ้าจนสุดทางของหนังเรื่องนี้นะ มันเหมือนมีความไม่ประนีประนอมมากพอสมควรในหนังเรื่องนี้น่ะ คือดูแล้วก็นึกถึงหนังที่ weird มากๆในปีนี้อย่าง BETAGEN FOREST (2014, Thapanee Loosuwan, A+20) ที่ดูไม่รู้เรื่องอย่างมากๆเหมือนกัน และเราก็รู้สึกว่าเราไม่สามารถจูนตัวเองให้เข้ากับ BETAGEN FOREST ได้อย่างเต็มที่เหมือนกันด้วย แต่เราก็ชอบที่มีการผลิตหนังที่สุดโต่งแบบนี้ออกมา คือการที่เราไม่สามารถจูนตัวเองให้เข้ากับหนังเรื่องเจ้าชายน้อยและ BETAGEN FOREST ได้ มันไม่ใช่ความผิดของหนัง และก็ไม่ใช่ความผิดของเราด้วยน่ะ เราว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่หนังแต่ละเรื่องจะตอบสนองผู้ชมแต่ละคนได้แตกต่างกันไป หรือมี wavelength ที่ตรงกับผู้ชมคนนึง แต่ไม่ตรงกับผู้ชมอีกคนนึง

4.เราชอบที่มีการเอาองค์ประกอบในภาพวาดของ Salvador Dali มาใช้ในหนังเรื่องนี้ เพราะเราก็ชอบภาพวาดของ Dali มากๆเหมือนกัน เวลาเราดูภาพวาดหลายๆภาพของ Dali แล้ว เรารู้สึกว่าเราอยากเข้าไปผจญภัยในภาพวาดนั้น และหนังเรื่องนี้ก็เหมือนจะทำในสิ่งที่คล้ายๆกับที่เราอยากเห็น

5.มีองค์ประกอบบางอย่างในหนังเรื่องนี้ ที่ทำให้เรานึกถึงผู้กำกับที่ชอบมากๆสองคน ซึ่งก็คือ

5.1 Guy Maddin เพราะหนังมันดูเหมือนจะมีความไฮเปอร์แอคทีฟ หรือมีการตัดต่ออย่างรวดเร็วด้วยเทคนิคทางภาพที่แพรวพราวและหลากหลายน่ะ โดยมีการใช้เทคนิคในการทำภาพให้ดูเหมือนฟิล์มเก่าๆแทรกเข้ามาด้วย มันก็เลยทำให้นึกถึงหนังอย่าง ODILON REDON OR THE EYE LIKE A STRANGE BALLOON MOUNTS TOWARD INFINITY (1995, Guy Maddin, A+30)

5.2 Terry Gilliam โดยเฉพาะหนังอย่าง THE IMAGINARIUM OF DOCTOR PARNASSUSS (2009) ที่มีการสร้างโลกจินตนาการที่ไปได้สุดทางมากๆเหมือนกัน

6.หนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึงฉากเมายาใน ACROSS THE UNIVERSE (2007, Julie Taymor) ด้วย ซึ่งมันเป็นฉากที่เราชอบที่สุดในหนังเรื่องนั้น และเราว่าหนังเรื่องนี้ก็อาจจะใช้ตรรกะคล้ายๆกัน คือเรามองว่าสิ่งต่างๆในหนังเรื่องเจ้าชายน้อยนี้ เกิดจากการพี้ยาของตัวละครน่ะ

7.ชอบการที่หนังบันทึกช่วงขณะหนึ่งของสังคมนั้นๆเอาไว้โดยที่หนังอาจจะไม่ได้ตั้งใจด้วย ซึ่งในที่นี้ก็คือ “บริการโทร 3 บาททั่วไทย” ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่เห็นแล้วในยุคปัจจุบัน คือมันเป็นบริการให้ยืมโทรศัพท์มือถือใช้ในยุคที่โทรศัพท์มือถือยังมีราคาแพงอยู่น่ะ และในช่วงนั้นเราก็ยังไม่มีมือถือ (เราเพิ่งซื้อมือถือเครื่องแรกในปี 2006) เพราะฉะนั้นเราก็เลยต้องใช้บริการอะไรแบบนั้นด้วยในยุคนั้น พอเรามาได้เห็นสิ่งนี้ปรากฏอยู่ในหนังเรื่องนี้ มันก็เลยทำให้เรานึกขึ้นมาได้ว่า เออ ใช่ มันเคยมีอะไรแบบนี้อยู่ในอดีตด้วย แต่มันหายไปแล้ว

สรุปว่าหนังเรื่องนี้มีอะไรน่าสนใจเยอะดี แต่มันไม่เข้าทางเราซะทีเดียว คือหนัง weirdๆ ที่เข้าทางเราที่นำเสนอโลกบ้าๆบวมๆที่ไร้ตรรกะเหตุผลมันจะเป็นหนังประเภทที่กำกับโดย Peter Greenaway, Alejandro Jodorowsky และ Ulrike Ottinger คือเรารู้สึกว่าเราสามารถจูน wavelength ของตัวเองให้เข้ากับผู้กำกับกลุ่มนี้ได้ในทันทีเลย โดยไม่ต้องพยายามปรับ wavelength ของตัวเองแต่อย่างใด แต่เรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องของรสนิยมส่วนตัวน่ะ มันไม่เกี่ยวกับว่าหนังดีไม่ดี

แต่ชอบหนังเรื่องต่อๆมาของคุณวุฒินทร์มากๆนะ ทั้ง TRAILS, 16X9- CAPSULE และ VISUAL ELEMENT (ไฟ-นัยน์-ตา) รู้สึกดีใจที่หนังของเขายุคหลังๆเข้าทางเรามากขึ้น 555

ดู 16x9-CAPSULE ได้ที่นี่

ภาพที่เห็นนี้ไม่ได้มาจากหนังเรื่อง “เจ้าชายน้อย” แต่เป็นภาพวาดของ Salvador Dali จ้ะ


No comments: