Wednesday, November 19, 2014

LOVE, ROSIE (2014, Christian Ditter, A+15)


LOVE, ROSIE (2014, Christian Ditter, A+15)

มีเพื่อนบางคนสงสัยว่าทำไมเราชอบหนังเรื่องนี้มากพอสมควร เราก็เลยจดบันทึกความรู้สึกของตัวเองไว้เล็กน้อยดีกว่า

SPOILERS ALERT

--
--
--
--
--

1.จริงๆแล้วเราเกือบชอบหนังเรื่องนี้ถึงระดับ A+30 แล้วด้วยซ้ำ เพราะเราดูแล้วร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรงกับฉากบนดาดฟ้าที่พระเอกพูดกับนางเอกเรื่องที่เขาใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อจะหาอะไรบางอย่างมาทดแทนนางเอก คือเราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจุดนี้ของหนังถึงทำให้เราร้องไห้อย่างรุนแรง เราไม่เข้าใจว่า “ทำไม” มันโดนเรามากๆ เรารู้แต่ว่ามันโดนเรามากๆ

แต่เรารู้สึกว่าการร้องไห้ของเราในฉากนี้มันคล้ายๆกับความรู้สึกที่เราเคยมีกับหนังเรื่อง DÉJÀ VU (1997, Henry Jaglom, A+30) น่ะ คือในหนังเรื่อง DEJA VU (1997) มันจะมีช่วงนึงที่ตัวละครคุยกันเรื่อง “ประสบการณ์การได้เจอกับใครสักคนเป็นเวลาสั้นๆ แต่ถึงแม้เวลาจะผ่านไปหลายสิบปี เราก็ยังคงลืมคนที่เราเจอเป็นเวลาสั้นๆนั้นไม่ได้” อย่างเช่นหญิงสาวคนนึงไปเที่ยวลอนดอน แล้วเจอกับชายหนุ่มคนนึงเป็นเวลาหนึ่งวัน แต่หลังจากนั้นผ่านไปหลายสิบปี หญิงสาวคนนั้นแก่ชราแล้ว แต่เธอกลับพบว่า เธอยังคงคิดถึงชายหนุ่มที่เธอเจอคนนั้นตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ถึงแม้เธอได้เจอเขาเพียงแค่วันเดียวเท่านั้นในชีวิต

จริงๆแล้วประสบการณ์ของตัวละครใน DEJA VU กับใน LOVE, ROSIE มันต่างกันมากนะ แต่เราอินกับอะไรแบบนี้มากๆ มันเป็นตัวละครที่มี “ช่องว่างที่ถมไม่เต็ม” อยู่ในใจตลอดทั้งชีวิตน่ะ และช่องว่างนั้นมันเกิดจากความรักความผูกพันกับใครบางคน และตัวละครก็ต้องใช้เวลาที่เหลือตลอดชีวิตพยายามถมช่องว่างในใจตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถทำได้ มันเหมือนกับว่า “ความทรงจำ” ที่มีต่อช่วงเวลาดีๆกับคนๆนั้นมันเป็นทั้ง “สิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ” และ “สิ่งที่กัดกร่อนจิตวิญญาณ” ไปด้วยในขณะเดียวกัน

2. แต่สาเหตุที่เราไม่ชอบถึงระดับ A+30 ก็เป็นเพราะว่าตอนจบมัน happy ending มากเกินไปสำหรับเราน่ะ คือถ้าหากมันจบแบบพลัดพรากกันไปตลอดชีวิตเลย เราต้องให้ A+30 แน่ๆ

3.อีกสาเหตุที่ทำให้เราชอบ LOVE, ROSIE มากๆ เพราะเราชอบหนังเกี่ยวกับคนที่ “จังหวะเวลาในชีวิตไม่ตรงกัน” น่ะ อย่างเช่นหนังเรื่อง DEJA VU, INNOCENCE (2000, Paul Cox, Australia, A+30) และ TWO ENGLISH GIRLS (1971, François Truffaut, A+30) โดยในหนังสามเรื่องนี้ มันจะมีตัวละครบางตัวที่รักกัน แต่เหมือนจังหวะอะไรบางอย่างในชีวิตมันไม่เอื้ออำนวย มันก็เลยครองรัก แต่งงานกันไม่ได้ในทันที และไอ้จังหวะชีวิตที่มันเหมือนจะคลาดเคลื่อนเพียงแค่เล็กน้อยนี่แหละ พอไปๆมาๆ มันก็ไม่ได้คลาดเคลื่อนเพียงแค่เล็กน้อย ตัวละครอาจจะคิดในตอนแรกว่า “เดี๋ยวอีกปีนึงก็ได้เจอกัน” แต่พอผ่านไปปีนึง ชะตาชีวิตก็กลับทำให้ตัวละครพลัดพรากจากกันไปเรื่อยๆ จนในที่สุดตัวละครก็อาจจะพลาดกันไปเลยตลอดทั้งชีวิต

เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมเราอินกับประเด็นนี้มากๆ แต่เราชอบหนังสามเรื่องข้างต้นและ LOVE, ROSIE เพราะประเด็นนี้แหละ

4.อีกอย่างที่ทำให้เรารู้สึกชอบหนังเรื่องนี้เป็นเพราะเราไม่รู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับนางเอกด้วยมั้ง คือเรารู้สึกถูกโฉลกกับนางเอกมากพอสมควร เราอาจจะไม่ได้อินกับเธออย่างรุนแรง แต่ก็ถูกโฉลกกับตัวละครตัวนี้ในระดับนึง ฉากที่ทำให้เรารู้สึกอินมากที่สุดกับตัวนางเอกคือฉากที่เธอรู้สึกเงี่ยนตอนเห็น Greg (Christian Cooke) ถอดเสื้อที่ชายหาด 555

5.หนังมีจุดที่เราไม่ชอบหลายจุดนะ แต่โดยรวมๆแล้วจุดที่เราไม่ชอบในหนังเรื่องนี้มันไม่ได้ทำให้เราเป็นทุกข์มากนัก คือมันไม่ได้โดนจุดอ่อนของเราเป็นการส่วนตัวน่ะ คือหนังห่วยหลายเรื่องเราอาจจะชอบมันมากๆก็ได้ ถ้าหากมันไม่มีอะไรที่โดนจุดอ่อนของเรา แต่หนังดีหลายเรื่องเราอาจจะไม่ชอบมันก็ได้ ถ้าหากมันมีอะไรที่โดนจุดอ่อนของเรา (อย่างเช่น WE OWN THE NIGHT ของ James Gray และ SWAY ของ Miwa Nishikawa ที่เราไม่ชอบ เพราะเราเกลียดหนังเกี่ยวกับพี่ชายน้องชายแบบนี้ ถึงแม้มันจะเป็นหนังดีก็ตาม)

จุดที่เราไม่ชอบมากๆใน LOVE, ROSIE ก็คือการหาทางออกอย่างง่ายๆในการขจัดเมียคนแรกของพระเอกและผัวคนแรกของนางเอกออกไปจากเส้นทางชีวิตรักของทั้งสองน่ะ คือมันดูยัดเยียดมากๆในการสร้างตัวละครเมียคนแรกของพระเอกให้เป็นคนที่มีข้อเสียชัดเจน นั่นก็คือ “รักความสมบูรณ์แบบ” และ “มีชู้” และในการสร้างข้อเสียให้ Greg ด้วยการเป็นคนขี้หึงและมีชู้ คือมันดูง่ายเกินไปยังไงไม่รู้ในการหาทางขจัดตัวละครสองตัวนี้ออกไป

6.จริงๆแล้วอีกสาเหตุนึงที่ทำให้เราชอบ LOVE, ROSIE กับ BEFORE I GO TO SLEEP เป็นเพราะว่า เรารู้สึกว่าหนังสองเรื่องนี้มันเหมือนเป็นหนังพาฝันสำหรับเด็กหญิงวัย 12 ( LOVE, ROSIE) และแม่บ้านวัย 40 (BEFORE I GO TO SLEEP) น่ะ คือพล็อตหนังสองเรื่องนี้ มันสามารถทำเป็น made- for-tv movie เพื่อจับตลาดคนดูกลุ่มผู้หญิงอารมณ์เปลี่ยวได้สบายๆเลย เพียงแต่ว่าหนังสองเรื่องนี้มันมีโปรดักชั่นดีหน่อย และเลือกใช้ดาราที่เล่นดีหน่อย แทนที่จะใช้ดาราเกรดบี มันก็เลยกลายเป็นหนังเข้าโรงที่ดูดีประมาณนึง ทั้งๆที่โดยตัวพล็อตเรื่องแล้ว มันเอื้อต่อการเป็นหนังฉายทางทีวีมากๆ

คือเรารู้สึกว่า LOVE, ROSIE มันตอบสนองความเป็นเด็กหญิงวัย 12 ที่อยู่ในตัวเราน่ะ เด็กหญิงที่จินตนาการว่าโตขึ้นอยากมีเพื่อนชายหล่อๆ และมีผัวหล่อๆ อยู่ในโลกสวยๆสะอาดๆอะไรทำนองนี้ และยิ่งมีผัวหล่อสองคนยิ่งดีใหญ่ ซึ่งในจินตนาการแบบนี้ เราจะไม่ได้เห็น “ความยากลำบากในชีวิตการเป็นหมอ” ของพระเอกเลย ซึ่งอันนี้ก็เป็นจุดนึงที่เราไม่ชอบในหนัง แต่ในแง่นึง เราก็ให้อภัยมันได้ในระดับนึง เพราะเรามองว่ามันเป็นหนังพาฝันสำหรับเด็กหญิงวัย 12 ก็เลยไม่ต้องแสดงความสมจริงอะไรในชีวิตพระเอกมากนัก มันเหมือนกับการดูหนังจีนกำลังภายในน่ะ คือเวลาเราดูหนังจีนกำลังภายใน เราจะไม่ตั้งคำถามว่า “ตัวละครทำมาหากินอะไร เอาเงินมาจากไหน” น่ะ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราดูหนังพาฝันสำหรับเด็กหญิงวัย 12 เราก็เลยไม่ซีเรียสมากนักกับการที่หนังไม่ได้จริงจังกับ “อาชีพของพระเอก” แต่ถ้าหากหนังมันจริงจังกับจุดนี้ เราก็คงชอบหนังเพิ่มขึ้นมาก

อันนี้เป็นรูปของ Christian Cooke หนึ่งในนักแสดงใน LOVE, ROSIE





No comments: