Tuesday, April 14, 2015

THE EYE OF THE DAY (2001, Leonard Retel Helmrich, Indonesia, documentary, A+30)


THE EYE OF THE DAY (2001, Leonard Retel Helmrich, Indonesia, documentary, A+30)

--ไม่ทันได้ดูหนังเรื่องนี้ใน Salaya Documentary Film Festival แต่โชคดีที่หนังเรื่องนี้มีให้ดูในเว็บไซต์ข้างล่างนี้ แต่ต้องจ่ายค่าดูในราคาประมาณ 13 บาทต่อเรื่อง

--ชอบการเลือกซีนของผู้กำกับมากๆ มันเหมือนเป็นการนำเสนอแง่มุมต่างๆของชีวิตชาวอินโดนีเซีย มากกว่าจะเป็นการพยายามเล่าเรื่องราวของครอบครัว Rumidjah เป็นเส้นตรง แต่ลักษณะแบบนี้อาจจะน้อยลงในภาคสอง (SHAPE OF THE MOON) และภาคสาม (POSITION AMONG THE STARS) คือเราว่าในภาคแรกนี้ เราแทบไม่เห็นซีนคนในครอบครัวนี้คุยกันเลยน่ะ เราจะได้เห็นคนในครอบครัวนี้คุยกันแค่สั้นๆเท่านั้น ซีนส่วนใหญ่ที่เราได้เห็นจะเป็นการทำมาหากินของชาวอินโดนีเซีย เราก็เลยชอบโครงสร้างแบบนี้ เราว่ามันไม่ง่ายที่จะเรียงร้อยซีนที่ไม่ได้เชื่อมโยงกันโดยตรงแบบนี้เข้าด้วยกัน ส่วนภาคสองกับภาคสามนั้น เราจะได้เห็นคนในครอบครัวนี้คุยกันมากยิ่งขึ้น และเรื่องจะเป็นเส้นตรงมากขึ้น

--ชอบฉากการเลือกตั้งในหนังเรื่องนี้มากๆ ดูการเลือกตั้งในประเทศอื่นแล้วก็สะเทือนใจเมื่อนึกถึงตัวเราเอง

--เราว่าหนังหลายๆเรื่องของ Helmrich มีจุดเด่นที่การใส่ฉากฝันหรือฉากกึ่งจริงกึ่งฝันเข้าไป ซึ่งมันช่วยทำให้หนังไม่ติดอยู่ในกรอบของความเป็นสารคดี ส่วนในหนังเรื่องนี้มันจะมีฉากที่ถ่ายแสงที่ลอดรูตรงกำแพงเข้ามาขณะที่ Rumidjah ทำอาหาร คือการถ่ายแสงอาทิตย์ในฉากนี้มันดูกึ่งจริงกึ่งฝันมากๆ และฉากที่มีกลุ่มคนสวดภาวนากันหลังจากเด็กหญิงปวดท้อง ก็ดูเป็นฉากกึ่งจริงกึ่งฝันมากๆ

--เหมือนกับว่าในแต่ละภาคจะมีฉากไคลแมกซ์ของตัวเอง สำหรับเราแล้ว ฉากไคลแมกซ์ของภาคแรกคือฉากงูเห่า, ฉากไคลแมกซ์ของภาคสองคือฉากเดินข้ามสะพาน ส่วนฉากไคลแมกซ์ของภาคสามคือฉากที่ภรรยาแก้แค้นสามีด้วยการฆ่าปลาของสามี สิ่งที่น่าสนใจก็คือฉากไคลแมกซ์ของภาคแรกและภาคสองเป็นฉากที่ไม่เกี่ยวกับเส้นเรื่องโดยตรง คือเราสามารถตัดสองฉากนี้ออกไปจากหนังได้ โดยที่เส้นเรื่องสามารถดำเนินไปได้ต่อไป

--หนังสารคดีชุดนี้ทำให้นึกถึงหนังสารคดีเรื่อง LOVE AND DIANE (2002, Jennifer Dworkin, 155min, A+30) ที่เป็นการตามติดชีวิตบัดซบของครอบครัวครอบครัวหนึ่งเหมือนกัน โดยในกรณีของ LOVE AND DIANE นั้นเป็นการตามติดชีวิตแม่กับลูกสาวผิวดำคู่หนึ่ง ที่ตัวแม่เป็นคนติดยาเสพติด

อย่างไรก็ดี ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างหนังไตรภาคสารคดีอินโดนีเซียกับ LOVE AND DIANE ก็คือว่า Helmrich ดูเหมือนจะอยู่ใกล้ชิดกับครอบครัว  Rumidjah มากพอสมควร เขาก็เลยสามารถเก็บฟุตเตจเหตุการณ์สำคัญของครอบครัวนี้ได้ ทั้งตอนที่เจองูเห่า, เกิดไฟไหม้, เจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์มาตรวจเยี่ยม, เจ้าหนี้มาทวงหนี้, ผัวเมียทะเลาะกัน, ลุงหลานทะเลาะกัน คนดูก็เลยได้เห็นดราม่าของจริงต่อหน้าจอ

แต่ในส่วนของ LOVE AND DIANE นั้น โชคร้ายที่ผู้กำกับ LOVE AND DIANE ไม่ได้อยู่ถ่ายทำครอบครัวของ subjects ตอนที่ครอบครัวนี้มีเรื่องดราม่าทะเลาะตบตีกันอย่างรุนแรง ผู้กำกับก็เลยต้องให้คนในครอบครัวนี้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วให้ฟัง ส่วนคนดูก็ต้องฟังแล้วจินตนาการภาพการตบตีกันด้วยตัวเอง

--ไม่รู้ว่าในประเทศอื่นๆมีหนังสารคดีแบบตามติดชีวิต subjects หลายปีแบบนี้บ้างไหม เท่าที่รู้ว่ามีก็คือ

1.ในอังกฤษมีหนังชุด 7 UP ของ Michael Apted ที่ตามติดชีวิตชาวอังกฤษกลุ่มหนึ่งตั้งแต่ 7 ขวบจนถึง 56 ปี หรือตั้งแต่ปี 1964-2012

2.ในเยอรมนีมีหนังชุด WITTSTOCK ของ Volker Koepp ที่ตามติดชีวิตสามสาวในเยอรมันตะวันออกตั้งแต่ปี 1975-1997 เราเคยดูภาคสุดท้ายที่ชื่อว่า WITTSTOCK, WITTSTOCK (1997, A+30) แล้วชอบมาก

3.ในอเมริกามี Jonas Mekas ที่ทำหนังเกี่ยวกับชีวิตตัวเองเป็นประจำในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา อย่างเช่นเรื่อง AS I WAS MOVING AHEAD OCCASIONALLY I SAW BRIEF GLIMPSES OF BEAUTY (2000, A+30) ที่เป็นการนำ home movies ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมามารวมเข้าด้วยกัน

4.ในญี่ปุ่นมีหนังสารคดีเกี่ยวกับชาวไร่ชาวนาที่ต่อสู้กับสนามบินนาริตะ เราจะได้เห็นชีวิตของพวกเขาตั้งแต่ SUMMER IN NARITA (1968, Shinsuke Ogawa) กับในหนังสารคดีอีก 3 เรื่องในทศวรรษ 1970 แล้วก็ได้เห็นชีวิตพวกเขาอีกทีใน THE WAGES OF RESISTANCE: NARITA STORIES (2014, Otsu Koshiro + Daishima Haruhiko) เท่ากับว่าเราได้เห็นชีวิตพวกเขานานกว่า 45 ปี

ไม่รู้ในประเทศอื่นๆมีหนังสารคดีชุดแบบนี้บ้างหรือเปล่า



No comments: