Saturday, August 01, 2015

THE SEVENTH SENSES (2015, Tithiti Maksomboon, A+25)

THE SEVENTH SENSES (2015, ทิธิติ มากสมบูรณ์, A+25) ถือเป็นอีกหนึ่ง guilty pleasures ประจำปีนี้ เพราะเราชอบช่วงกลางของหนังเรื่องนี้มากๆ และเราว่า สตีเว่น ฟูเรอร์เล่นหนังเรื่องนี้ได้อย่างน่ารักมากๆๆๆๆๆ ฉากที่เขาเห็นผีในโรงแรมแล้วเลยนอนพลิกตะแคงกลับไปอีกข้าง แล้วเห็นหน้านางเอก แล้วนางเอกลืมตาขึ้นมามองเขานี่มันเป็นฉากที่น่ารักมากๆๆๆๆเลย เราว่าช่วงกลางของหนังเรื่องนี้นี่ดูแล้วฉ่ำมากๆค่ะ

อีกจุดที่ชอบในช่วงกลางของหนังเรื่องนี้ คือเราว่าช่วงกลางของหนังมันอาศัยทั้งเส้นเรื่องหนังรักและเส้นเรื่องหนังผีมาเกี่ยวกระหวัดเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัวน่ะ คือถ้ามันเป็นหนังรักอย่างเดียว หรือถ้าหากมันเป็นหนังผีอย่างเดียว เราจะไม่รู้สึกกับมันอย่างรุนแรงขณะนี้ และมันอาจจะกลายเป็นหนังที่อ่อนแอมากๆได้ แต่พอพล็อตหนังรักกับพล็อตหนังผีมันดำเนินไปด้วยกัน มันก็เลยช่วยให้หนังมันแข็งแรงมากขึ้น และเกิดความน่าสนใจขึ้นมา

จริงๆแล้วอีกสาเหตุหนึ่งที่เราชอบ เป็นเพราะว่าเราเคยมีเพื่อนสนิทคนนึงเป็นคน “จิตสื่อวิญญาณ” คล้ายๆตัวละครพระเอกน่ะ เราก็เลยรู้สึกว่าคนแบบพระเอกเป็นคนที่เราสามารถพบได้ใกล้ๆตัวเรานี่เอง เพราะมันเหมือนเพื่อนสนิทเรา ที่ก็มีปัญหาอย่างรุนแรงกับความเป็นคนจิตสื่อวิญญาณของตัวเองเหมือนกัน

แต่เราว่าหนังมีปัญหาตรงช่วงต้นกับช่วงท้าย เพราะช่วงต้นของหนัง โทนมันออกไปในทางตลกชั้นต่ำยังไงไม่รู้ ส่วนช่วงท้ายของหนัง เราว่ามันไปไกลเกินไปหน่อย และเราว่ามันไม่สมเหตุสมผลมากๆที่ตัวละครบางตัวตายเพราะถูกโจรฆ่าตายอย่างไร้เหตุผลแบบนั้นน่ะ คือการถูกโจรฆ่าตายในหนังเรื่องนี้มัน “บังเอิญ” มากเกินไป เราว่าถ้าหากหนังเปลี่ยนตรงนี้นิดหน่อย คือเปลี่ยนจากกลุ่มโจร เป็น “ฆาตกรโรคจิตที่ยังไม่มีใครจับได้” เราว่าพล็อตตรงนี้จะน่าเชื่อถือมากขึ้น

แต่จริงๆแล้ว เราว่าถ้าหากหนังจบลงโดยไม่ต้องมีองก์สุดท้าย หนังอาจจะ work กว่านี้นะ

อยากให้มีการเอา “THE SEVENTH SENSES” มาดัดแปลงใหม่ให้ดีๆ แล้วเอามารวมกับ “อย่างน้อย/อย่างกลาง/อย่างมาก” (2011, Tritos Termarbsri, 90min, A+30) เพราะจริงๆแล้ว THE SEVENTH SENSES มันก็เป็นเรื่องของ “ผู้ชายที่เห็นผี และหมกมุ่นกับเพื่อนเก่า” เหมือนๆกับ  “อย่างน้อย/อย่างกลาง/อย่างมาก” เพียงแต่ว่า THE SEVENTH SENSES มันเป็นเหมือน “ดนตรีป็อป” ส่วน “อย่างน้อย/อย่างกลาง/อย่างมาก” มันเป็นเหมือน “ดนตรีที่ไม่สามารถระบุแนวใดๆได้อีกต่อไป” ทั้งๆที่มันใช้เนื้อร้องคล้ายๆกัน หรือเล่าเนื้อเรื่องคล้ายๆกัน

ตอนนี้ตัดสินใจไม่ได้ว่าอันดับหนึ่งหนังไทยขนาดยาวที่เราชอบที่สุดในปีนี้จะเป็นเรื่องอะไร ระหว่าง “โสฬส” (Teeranit Siangsanoh), “โลกละเมอ” (เฉลิมพงษ์ อุดมศิลป์, 58 นาที) กับ HOW TO WIN AT CHECKERS EVERY TIME (Josh Kim) แต่ถ้าหากให้ตัดสินตอนนี้ อาจจะเป็น “โลกละเมอ” อันดับหนึ่ง “โสฬส” อันดับสอง ส่วน HOW TO WIN AT CHECKERS EVERY TIME อาจจะเป็นอันดับสาม

A FILM BY ANIMAL หนังสัตว์ (Pakorn Yooin, A+5)
เราไม่ได้อินกับตัวเนื้อเรื่องเท่าไหร่นะ เพราะเราเป็นคนที่ไม่คิดจะทำร้ายสัตว์อะไรพวกนี้อยู่แล้ว แต่ถึงแม้เราจะไม่อินอะไรเลยกับตัว conflict หลักของหนัง แต่หนังก็มีองค์ประกอบต่างๆที่เราชอบ โดยเฉพาะ วิธีการถ่ายแบบไม่ตัดภาพ แต่เป็นเทคยาวๆที่เคลื่อนกล้องหรือแพนกล้องไปมาในหลายๆฉาก, การใช้เลนส์ภาพที่ผิดปกติในหลายๆฉาก และฉากที่ตัวละครไปเจอทุ่งประติมากรรม แล้วมีการถ่ายแบบยิ่งใหญ่เกินจริงในฉากทุ่งประมาติกรรมนั้น คือเราอาจจะไม่ชอบโทนโดยรวมๆของหนังเป็นการส่วนตัวน่ะ แต่หนังไม่ได้ทำผิดอะไรในจุดนี้นะ มันเป็นรสนิยมส่วนตัวของเราเองที่ไม่ได้ชอบโทนหนังแบบนี้ แต่เราชอบ “สไตล์การถ่ายภาพ” ในหลายๆฉากมากๆ

ฉากการทะเลาะตบตีกันอย่างรุนแรงใน “หนังสัตว์” ทำให้นึกถึงหนังคัลท์ของไทยที่ชอบมากๆอีกเรื่องนึง ซึ่งก็คือเรื่อง “ซอมบี้ขยี้ตุ๊ด” (2010, Somsak Sornpang)

No comments: