Tuesday, December 29, 2015

SNAP (2015, Kongdej Jaturanrasmee, A+30)

SNAP (2015, Kongdej Jaturanrasmee, A+30)

1.ติดอันดับหนึ่งหนังที่ชอบที่สุดของคงเดชไปเลย ส่วนอันดับสองคือ “เอวัง”  (SO BE IT, 2014) และอันดับสามคือ “แต่เพียงผู้เดียว” (P-047, 2011)

2.จริงๆแล้วคงเดชเป็นผู้กำกับหนังไทยที่เรา “นับถือ” มากกว่า “ชื่นชอบเป็นการส่วนตัว” นะ เหมือนกับผู้กำกับอย่าง “ดอกดิน กัญญามาลย์” และรัตน์ เปสตันยี น่ะ คือเรารู้สึกว่าหนังของสามคนนี้ดีมากๆ แต่เราจะไม่อินกับมันเป็นการส่วนตัว ไม่เหมือนหนังของ “เพิ่มพล เชยอรุณ” ที่เรารู้สึกว่า wavelength มันตรงกับของเราอย่างรุนแรงโดยไม่มีเหตุผล เพราะฉะนั้นหนังของคงเดชหลายๆเรื่องที่คนอื่นๆชื่นชอบกัน มันจะเป็นหนังที่เรามองว่า “ดีมาก” แต่ไม่ใช่หนังที่ “โดนใจเราจริงๆ” จนกระทั่งมาถึงหนังเรื่อง “เอวัง” ที่หลายคนไม่ชอบกัน แต่เรากลับพบว่าหนังอย่าง “เอวัง” นี่แหละ ที่มันเข้าทางเราจริงๆ

3.ส่วน SNAP นั้น เราพบว่ามันสามารถก้าวพ้นจากการเป็นแค่หนัง “ดีมาก” ในสายตาของเรา มาเป็นหนังที่จี๊ดใจเราจริงๆได้น่ะ เพราะเราชอบ “ความรู้สึกเจ็บปวด” ในใจตัวละครมากๆ คือเรารู้สึกเหมือนกับว่าตัวละครพระเอกนางเอกในหนังเรื่องนี้ มันมีความเจ็บปวดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ หรือมีความรู้สึกรุนแรงอะไรบางอย่างอยู่ในใจตลอดทั้งเรื่อง แต่มันไม่แสดงออกมาตรงๆ แต่หนังกลับมีวิธีการบางอย่างที่สามารถทำให้เราจินตนาการได้ถึงความเจ็บปวดนั้น และอินไปกับความรู้สึกเจ็บปวดนั้นอย่างมากๆ

4.ซึ่งจริงๆแล้วคงเป็นเพราะว่าเรามีปมกับโรงเรียนมัธยมด้วยแหละมั้ง คือตอนนี้ปี 2015 แล้ว แต่เรายังรู้สึกอยู่เลยว่า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของเรา คือปี 1989 ตอนที่เราเรียนอยู่ม.5 และได้คุยกับเพื่อนๆมัธยมทุกๆวัน คือจนบัดนี้เวลามันผ่านมานาน 26 ปีแล้ว เรายังรู้สึกอยู่เลยว่า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของเรา คือปี 1989 ตอนที่เราอยู่ม.5

เพราะฉะนั้นหนังที่ nostalgia ถึงเพื่อนๆมัธยม ถ้าหากทำดีๆ มันจะโดนเรามากๆ ซึ่งรวมถึงหนังไทยอีกสองเรื่องที่ติดอันดับประจำปีของเราในปีนี้ด้วย ซึ่งก็คือเรื่อง MY DIARY:3811316 (Pailin Chainakul) และ OUR LAST DAY (Rujipas Boonprakong)

5.ฉากที่ชอบมากๆคือฉากที่นางเอกร้องไห้ในงานแต่งงานนั่นแหละ เราดูแล้วนึกถึงฉากงานแต่งงานในหนังเรื่อง BIRTH (2004, Jonathan Glazer, A+30) เลย เราว่าฉากงานแต่งงานใน SNAP กับ BIRTH นี่คลาสสิคพอๆกัน

6.สำหรับประเด็นการเมืองและ “ความทรงจำ” นั้น คิดว่าหลายคนคงเขียนถึงประเด็นนี้ไปแล้ว และจริงๆแล้วไปๆมาๆมันกลับไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้ 555 คือมันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้น่ะแหละ แต่สาเหตุหลักคือการที่เรารู้สึกอินกับความรู้สึกเจ็บปวดในใจตัวละครมากกว่า

สิ่งที่เราว่าน่าสนใจดีในหนังเรื่องนี้ ก็คือว่าตัวละครในเรื่องมันค่อนข้าง passive กับเหตุการณ์ทางการเมืองในช่วง 8 ปีที่ผ่านมาน่ะ ซึ่งมันจะคล้ายกับหนังสั้นไทยกลุ่มนึง ที่มักจะนำเสนอประเด็นทางการเมืองอย่างอ้อมๆ ผ่านทาง “ข่าวโทรทัศน์” และ “ข่าววิทยุ” ที่ส่งเสียงลอยเข้ามาในฉาก แต่ตัวละครไม่ได้แสดงปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับข่าวโทรทัศน์และข่าววิทยุเหล่านั้น (หนังเรื่อง SWAY ก็อาจจะเข้าข่ายนี้ด้วย) ซึ่งสาเหตุหนึ่งอาจจะเป็นเพราะปัญหาเรื่องความปลอดภัยของตัวผู้กำกับหนังสั้นเหล่านี้ด้วย ประเด็นทางการเมืองมันเลยถูกนำเสนออย่างอ้อมๆแบบนี้ และต่างจากหนังสั้นไทยอีกกลุ่มหนึ่ง อย่างเช่น “ความลักลั่นในงานรื่นเริง” (2007, Prap Boonpan) ที่นำเสนออย่างตรงไปตรงมา

คือเราว่าสิ่งนี้มันน่าสนใจดี พอนำไปเทียบกับหนังต่างประเทศที่พูดถึง “ความรักของหนุ่มสาวท่ามกลางความแปรผันทางการเมือง” เหมือนกัน อย่างเช่น THE WAY WE WERE (1973, Sydney Pollack), THE OLD GARDEN (2006, Im Sang-soo), SUMMER PALACE (2006, Lou Ye) และ GIRLFRIEND BOYFRIEND (2012, Yang Ya-che) เพราะตัวละครหนุ่มสาวในหนัง 4 เรื่องนี้ มันไม่ได้ทำตัว passive กับความพลิกผันทางการเมืองน่ะ แต่มันค่อนข้าง active มากๆ เราก็เลยรู้สึกว่า SNAP มันสะท้อนอะไรบางอย่างที่น่าสนใจดีในภาวะสังคมการเมืองของไทย

7.มีจุดเล็กๆน้อยๆที่เราชอบเยอะมากๆในหนังเรื่องนี้ อย่างเช่น ฉากที่นางเอกพบว่าภารโรงเอาตุ๊กตาของนางเอกไปวางรวมกับพระพุทธรูป อะไรทำนองนี้ เพราะว่าตุ๊กตาของนางเอกไม่มีประโยชน์ในแง่การใช้งานได้จริงในสายตาของผู้รับ (ภารโรงบอกว่า หนูโตแล้วค่ะ) แต่มีเพียงแค่คุณค่าทางจิตใจเท่านั้น

เราไม่รู้ว่าฉากนี้ตั้งใจจะสื่อถึงอะไร แต่เราว่ามันสะท้อนอะไรที่น่าสนใจดี และมันทำให้เรานึกถึงคนบางกลุ่มที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดี บริจาคของให้คนจนอะไรทำนองนี้ แต่ไม่ได้คำนึงถึงว่ามันตรงกับสิ่งที่ผู้รับต้องการจริงๆหรือเปล่า

8.เราชอบมากๆด้วยที่ตัวละครสามีนางเอกไม่ได้ถูกทำออกมาเป็น “ผู้ร้ายหนังไทย” น่ะ คือไม่ได้ทำออกมาเป็นคนนิสัยไม่ดี ขี้หึง ทำหน้าตาถมึงทึง คอยหาเรื่องพระเอกอะไรทำนองนี้ แต่ทำออกมาเป็นคนสุภาพ รักษามาดตลอดเวลา คือเราว่าตัวละครแบบนี้นี่แหละ ที่มันร้ายจริงๆ และมันน่ากลัวจริงๆ ไม่ใช่ร้ายแบบโง่ๆ

เราชอบฉากที่เขาโต้เถียงกับนางเอกเรื่องรูปมากๆเลยด้วย คือนางเอกเหมือนจะเลือกรูปที่ให้ความสำคัญระหว่าง “ความรักที่เราสองคนมีต่อกัน” ซึ่งก็คือรูปที่เธอกับเขามองหน้ากัน แต่เขากลับเลือกรูปที่ทั้งสองคนหันหน้ามองกล้อง แทนที่จะหันหน้ามองกันและกัน มันเหมือนกับว่าเขาเลือก “ภาพลักษณ์” มากกว่า

9.ชอบการปรากฏตัวของแฟนพระเอก (ถ้าเราเข้าใจไม่ผิด) ที่ทำกิจกรรมรีดผ้ามากๆเลยด้วย คือเราว่าการนำเสนอตัวละครตัวนี้ขณะรีดผ้าอยู่ มันทำให้เธอดู “ติดดิน” และทำให้เราจินตนาการได้ว่า เธอคงไม่ได้ดูเป็นลูกคุณหนูแบบนางเอกแน่ๆ และมันตอกย้ำเรื่องชนชั้นได้ในทางอ้อม โดยไม่ต้องนำเสนอตรงๆ

10.ชอบฉากที่ถ่ายโรงเรียนโล่งๆ แล้วมีเสียงตัวละครพูดโดยไม่เห็นตัวละครด้วย ฉากนั้นนึกว่ามาจากหนังของ Marguerite Duras

11.แต่ถ้าหากเทียบกับหนังไทยเรื่องอื่นๆที่ยาวกว่า 30 นาทีที่เราได้ดูในปีนี้ เราอาจจะชอบเรื่องนี้เป็นอันดับ 3 นะ เพราะอันดับหนึ่งคือ THE BLUE HOUR (Anucha Boonyawatana) และอันดับสองคือ SEE YOU TOMORROW (Nattawoot Nimitchaikosol) สาเหตุที่เราชอบสองเรื่องนี้มากกว่า มันเป็นเพราะชีวิตส่วนตัวของเราเองด้วยแหละ คือเรายังไม่เคยมีผัวน่ะ เพราะฉะนั้นเราก็เลยไม่อินกับ SNAP อย่างสุดๆในแง่ของความเจ็บปวดเมื่อนึกถึงแฟนเก่าอะไรทำนองนี้ คือเราอินกับมันในแง่ความ nostalgia ถึงชีวิตมัธยมก็จริง แต่เราก็จะรู้สึกห่างจากมันในระดับนึงในแง่การสะท้อนความเจ็บปวดเมื่อได้พบกับแฟนเก่า อะไรทำนองนี้

ส่วน THE BLUE HOUR นั้น เราอินกับโลกอนาถาอาถรรพณ์ในหนังอย่างรุนแรงมากๆโดยไม่มีสาเหตุ ในขณะที่ SEE YOU TOMORROW (พบกันใหม่โอกาสหน้า) นั้น เราว่ามันสะท้อนความรู้สึกของเราที่มีต่อการเมืองไทยได้ตรงกว่า SNAP น่ะ เพราะถึงแม้ SEE YOU TOMORROW จะนำเสนอตัวละครที่ค่อนข้าง passive ต่อความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเหมือนกัน แต่ตัวละครใน SEE YOU TOMORROW ก็ได้รับผลกระทบในทางลบอย่างเห็นได้ชัดมากกว่า และรู้สึกอึดอัดคับข้องใจกับมันมากกว่าตัวละครใน SNAP


อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เราอินกับ SEE YOU TOMORROW มากกว่า SNAP เป็นเพราะว่ามันนำเสนอชีวิตตัวละครได้เข้าทางเรามากกว่าด้วยแหละ คือ SEE YOU TOMORROW มันสะท้อน “การเมืองไทย” และ “ชีวิตการทำงานของตัวละคร” ในขณะที่ SNAP มันสะท้อน “การเมืองไทย” และ “ความรักของตัวละคร” แต่เราเป็นคนที่หาผัวไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราก็เลยย่อมอินกับหนังที่ให้ความสำคัญกับชีวิตการทำงานอย่าง SEE YOU TOMORROW มากกว่าหนังที่ให้ความสำคัญกับความรักอย่าง SNAP อยู่แล้ว

No comments: