Monday, March 07, 2016

A TALK AFTER SIGNES DE NUIT FILM FESTIVAL


คือในงานเสวนาหลังจบเทศกาลภาพยนตร์ Signes de Nuit ครั้งนี้ คุณ Dieter Wieczorek เจ้าของเทศกาล เขาเปิดให้ผู้ชมถามคำถามได้ แล้วคุณลี เจ้าของ Speedy Grandma ก็เลยถามว่า คุณ Dieter ใช้เวลาว่างด้วยการไปดูนิทรรศการศิลปะบ้างหรือเปล่า คุณ Dieter ก็เลยตอบว่า ไม่ค่อยได้ไปแล้ว แต่สมัยก่อนเขาเคยเป็น art critic แต่เขาเบื่อหน่ายกับพวกมาเฟียในวงการศิลปะ เขาก็เลยเลิกเป็น art critic และหันมาเอาดีทางการจัดเทศกาลภาพยนตร์แทน

เราจำที่เขาพูดได้ไม่มากนัก แต่จากสิ่งที่เขาพูด เราเข้าใจประมาณว่า ในวงการศิลปะมันมีคนกลุ่มนึงที่คอยควบคุมการดังไม่ดังของศิลปิน คนกลุ่มนี้ก็ประกอบไปด้วยเจ้าของแกลเลอรี่กับ art dealer และคนอื่นๆในวงการศิลปะ ที่เหมือนกับจะสามารถกำหนดได้ว่า ศิลปินหน้าใหม่คนไหนจะแจ้งเกิดได้หรือไม่ จะขายผลงานได้หรือไม่ แต่นั่นก็ทำให้เป็นเรื่องยากที่คนทั่วไปจะสามารถเข้าถึงศิลปินหน้าใหม่ที่มีผลงานที่น่าสนใจจริงๆ เพราะถ้าหากศิลปินหน้าใหม่ไม่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคนกลุ่มนี้ ศิลปินหน้าใหม่คนนั้นก็จะไม่ได้จัดแสดงผลงานในแกลเลอรี่ และก็จะไม่เป็นที่รู้จัก แต่ถ้าหากศิลปินหน้าใหม่คนไหนได้รับการ approved จากมาเฟียในวงการแล้ว ก็จะได้จัดแสดงผลงาน ขายผลงานได้ และหลังจากนั้นศิลปินคนนั้นจะทำอะไรก็ได้ คือพอสร้างชื่อได้แล้ว มี “ชื่อ” แล้ว ผลงานชุดต่อๆมาก็อาจจะไม่จำเป็นต้องดีมากนักก็ได้

สิ่งที่ทำให้คุณ Dieter ไม่พอใจเป็นอย่างมากก็คือว่า มีหลายครั้งที่เขาต้องการจะเขียนบทความเกี่ยวกับศิลปินหน้าใหม่ที่มีผลงานที่น่าสนใจมากๆ แต่ publisher ไม่ยอมตีพิมพ์บทความนั้น publisher จะยอมตีพิมพ์บทความนั้นก็ต่อเมื่อมันเป็นการเขียนถึง “ศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในระดับนึงแล้ว” เท่านั้น

และ Dieter ก็ไม่ชอบที่เวลาแกลเลอรี่บางแห่งจะตัดสินว่าจะแสดงผลงานของศิลปินคนไหนหรือไม่ แกลเลอรี่กลับไม่ได้ตัดสินจาก “ตัวผลงาน” ที่จะนำมาจัดแสดง ว่าดีหรือน่าสนใจมากน้อยเพียงใด แต่ตัดสินจาก “ประวัติการแสดงผลงาน” ของศิลปินคนนั้นว่าเคยจัดแสดงที่ไหนมาบ้าง


คุณ Dieter บอกว่า ถึงแม้เขาจะเลิกเป็น art critic มานานราวสิบปีแล้ว แต่เขาก็คิดว่าวงการศิลปะก็ยังไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดิม เพราะเวลาเขาไปดูนิทรรศการศิลปะ เขาก็ยังเจอแต่ผลงานของศิลปินหน้าเดิมๆ แทบไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อสิบปีก่อน คือมันมีศิลปินหน้าใหม่ๆเกิดขึ้นมาบ้างก็จริง แต่มันยากกว่าวงการภาพยนตร์นอกกระแส มันเหมือนกับว่าการมีโอกาสได้ดู “ภาพยนตร์สั้นของผู้กำกับโนเนมที่มีฝืมือ” มันง่ายกว่าการได้ไปดูนิทรรศการศิลปะของศิลปินโนเนมที่มีฝืมือ ทำนองนี้มั้ง

No comments: